คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3680/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ จ. ทายาททำหนังสือยกส่วนได้ของตนที่จะได้รับการแบ่งปันทรัพย์มรดกจากจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีให้แก่ ส. เป็นการโอนทรัพย์สินอันเป็นมรดกที่ตกได้แก่ตนด้วยการให้โดยเสน่หาแก่ ส.และส. ยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงเป็นการให้โดยเสน่หา หาใช่เป็นเพียงการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ ในขณะที่ จ. ทำสัญญาให้นั้น ทายาททุกคนรวมทั้งทรัสตีได้ตกลงยกเลิกทรัสต์กันแล้ว โดยให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัสตีในขณะนั้นทำการแบ่งปันมรดกให้แก่ทายาททรัพย์มรดกทั้งหมดจึงมีจำเลยที่ 2ในฐานะทรัสตีและในฐานะผู้จัดการมรดกในเวลาต่อมาเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาแทนทายาททุกคน การที่ จ. ทำสัญญาให้โดยเสน่หาแล้ว ส. ทำบันทึกมอบฉันทะให้ จ. เป็นผู้รับส่วนแบ่งมรดกดังกล่าวแทน โดยจำเลยที่ 2 ลงชื่อยินยอมและรับรู้การยกให้กับการมอบฉันทะดังกล่าว เท่ากับเป็นการตกลงว่าต่อแต่นั้นไปจำเลยที่ 2จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนได้ของ จ. แทน ส.เป็นการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้โดยปริยายแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379 การให้ทรัพย์สินในส่วนที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์จึงสมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 523 สำหรับมรดกที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ก็มีจำเลยที่ 2เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนทายาททุกคน การโอนจึงทำได้โดย จ.ผู้โอนสั่งจำเลยที่ 2 ผู้แทนว่าต่อไปให้ยึดถือทรัพย์สินไว้แทน ส.ผู้รับโอนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1380 วรรคสองเมื่อ จ. ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือสำคัญเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การให้โดยเสน่หาจึงไม่อาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ได้การรับรู้การยกให้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นการรับว่าต่อไปจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์แทน ส. โดยไม่ต้องจดทะเบียนการยกให้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 อีก การที่จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า จ. ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งมรดกให้แก่ ส. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม2510 แต่โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า หนังสือที่ จ. ทำขึ้นดังกล่าวเป็นหนังสือยกให้ส่วนแบ่งมรดกมิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง การให้ไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ เท่ากับโจทก์รับว่าหนังสือยกให้ได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 11ตุลาคม 2510 เพียงแต่โต้แย้งว่ามิใช่หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง โจทก์จะฎีกาว่าหนังสือยกให้ทำเมื่อปี 2521 อันเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วหาได้ไม่ต้องฟังว่า จ. ทำหนังสือยกให้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 โจทก์เพิ่งบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2527เป็นการบอกล้างเมื่อเกินสิบปี จึงบอกล้างไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143(มาตรา 181 ที่แก้ไขใหม่)สัญญาให้ไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า หม่อมหลวงสาระภี หงสนันท์ เป็นบุตรของนางจำรัส เจนใจวิทย์ กับหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์หม่อมราชวงศ์สุวพรรณ ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทแล้วจึงวายชนม์ ต่อมาบรรดาทายาทได้ทำบันทึกแบ่งปันมรดกขึ้นใหม่กำหนดส่วนแบ่งกองมรดกให้แก่ทายาท โดยนางจำรัสซึ่งเป็นภริยาและเป็นทายาทได้รับส่วนแบ่งด้วย โจทก์ได้รับส่วนแบ่งงวดหนึ่งเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2527 ต่อมาจำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจำรัสให้ไปรับเงินส่วนแบ่งจากการขายที่ดินมรดกงวดวันที่ 18 เมษายน 2527 แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของหม่อมหลวงสาระภีได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 2 ให้ระงับการจ่ายเงิน โดยอ้างว่านางจำรัสได้โอนสิทธิการรับเงินไปให้หม่อมหลวงสาระภีแล้ว ความจริงนางจำรัสไม่เคยโอนสิทธิให้แก่หม่อมหลวงสาระภี ขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 2 ระงับการจ่ายเงินส่วนแบ่งจากกองมรดกและห้ามจำเลยที่ 1 เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินส่วนแบ่งจากการขายที่ดินของกองมรดก งวดวันที่ 18 เมษายน 2527 จำนวน400,000 บาท และงวดต่อ ๆ ไปให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510นางจำรัสได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งที่ตนมีสิทธิได้รับจากกองมรดกทั้งหมดให้แก่หม่อมหลวงสาระภี และนางจำรัสกับหม่อมหลวงสาระภีได้บอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือยินยอมด้วยในการโอนนั้น สิทธิในส่วนแบ่งที่นางจำรัสจะได้รับจากกองมรดก จึงโอนและตกเป็นของหม่อมหลวงสาระภีตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2510 เป็นต้นมา ต่อมาหม่อมหลวงสาระภีได้มีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยที่ 2 ว่าหม่อมหลวงสาระภีขอมอบฉันทะให้นางจำรัสรับส่วนแบ่งมรดกแทนจนกว่านางจำรัสจะถึงแก่กรรม เมื่อนางจำรัสถึงแก่กรรมลงจำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิรับเงินส่วนแบ่งดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 การที่โจทก์รับเงินส่วนแบ่งจากกองมรดกเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2527 จำนวน375,000 บาท โดยรู้ว่าตนไม่มีสิทธิจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์คืนเงินจำนวน 375,000 บาทให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกรับรู้การที่นางจำรัส โอนสิทธิการรับมรดกให้แก่หม่อมหลวงสาระภี และหม่อมหลวงสาระภีได้มอบฉันทะให้นางจำรัสรับส่วนแบ่งมรดกตามหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องแทนหม่อมหลวงสาระภีไปจนกว่านางจำรัสจะถึงแก่กรรม ต่อมาหม่อมหลวงสาระภี และนางจำรัสถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 ขอให้ระงับการจ่ายเงินส่วนแบ่งให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงระงับการจ่ายเงินส่วนแบ่งมรดกไว้ก่อน และได้นำเงินไปฝากไว้ ณ ธนาคารออมสินเพื่อรอการจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2รับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่านางจำรัสทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งมรดกให้แก่หม่อมหลวงสาระภี ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2510 นั้นไม่เป็นความจริง ความจริงหนังสือที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างเป็นหนังสือยกให้ในส่วนแบ่งทรัพย์สิน สิทธิต่าง ๆ และผลประโยชน์อันพึงจะได้รับจากกองมรดกซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้จัดการมรดกจะต้องนำมาแบ่งให้แก่นางจำรัสตามสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันมรดกมิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง หม่อมหลวงสาระภียังไม่เคยได้รับมอบทรัพย์สินที่ยกให้เลย จนกระทั่งผู้รับได้ถึงแก่กรรมก่อนผู้ให้ การยกให้จึงไม่สมบูรณ์ สิทธิการรับมรดกของนางจำรัสเป็นสินเดิมซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างนางจำรัสกับโจทก์ นางจำรัสจำหน่ายสินบริคณห์ดังกล่าวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์จึงเป็นโมฆียะ และโจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะไปแล้วขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ สนิทวงศ์ เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมลงวันที่ก่อตั้งทรัสต์ ต่อมาทายาททุกคนรวมทั้งทรัสตีได้ตกลงเลิกทรัสต์และให้นำทรัพย์สินทั้งหมดมาแบ่งปันกันในระหว่างทายาทวันที่ 12 ธันวาคม2510 บรรดาทายาททุกคนได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงวิธีแบ่งปันโดยให้เรืออากาศเอกพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และเรือเอกปิยะพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ทรัสตีเป็นผู้จัดการแบ่งปันให้เป็นไปตามข้อตกลง ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งเรืออากาศเอกพจน์กับเรือเอกปิยะพันธ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกนางจำรัสเป็นภริยาคนหนึ่งของเจ้ามรดก มีบุตรกับเจ้ามรดก1 คน คือหม่อมหลวงสาระภี หลังจากเจ้ามรดกวายชนม์แล้วนางจำรัสได้จดทะเบียนสมรสใหม่กับโจทก์ ในระหว่างการตกลงแบ่งปันทรัพย์สินนางจำรัสในฐานะทายาทผู้มีส่วนได้รับแบ่งปันทรัพย์สินดังกล่าวด้วยได้ทำหนังสือยกส่วนได้ของตนที่จะได้รับการแบ่งปันต่อไปให้แก่หม่อมหลวงสาระภีซึ่งเป็นทายาทอีกคนหนึ่งขณะเดียวกันหม่อมหลวงสาระภีได้ทำหนังสือมอบฉันทะให้นางจำรัสเป็นผู้รับส่วนได้ดังกล่าวแทนหม่อมหลวงสาระภีจนกว่านางจำรัสจะถึงแก่กรรม โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีได้ลงชื่อยินยอมและรับทราบการยกให้และการมอบฉันทะในหนังสือดังกล่าวด้วยดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่แบ่งปันมรดกให้แก่โจทก์เพราะสิทธิในการรับมรดกได้โอนไปเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า สิทธิในการรับการแบ่งปันมรดกเป็นทรัพย์สินอันเป็นสินเดิมของนางจำรัส ในฐานะทายาทผู้เป็นเจ้าของรวมคนหนึ่ง มิใช่เป็นเพียงสิทธิเรียกร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อนางจำรัสทำหนังสือยกให้ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว แต่หม่อมหลวงสาระภียังไม่ได้รับการส่งมอบซึ่งทรัพย์สินที่ให้ การให้จึงยังไม่สมบูรณ์ สิทธิในการรับการแบ่งปันมรดกยังเป็นของนางจำรัสอยู่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือยกให้ตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นหนังสือที่นางจำรัสยกส่วนได้ของตนที่จะได้รับการแบ่งปันทรัพย์สินจากจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีให้แก่หม่อมหลวงสาระภี จึงเป็นการโอนทรัพย์สินอันเป็นมรดกที่ตกได้แก่ตนส่วนหนึ่งด้วยให้โดยเสน่หาแก่หม่อมหลวงสาระภี และหม่อมหลวงสาระภียอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว สัญญาตามเอกสารหมาย ล.1 จึงเป็นการให้โดยเสน่หาดังที่โจทก์กล่าวอ้าง หาใช่เป็นเพียงการโอนสิทธิเรียกร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ปัญหาต่อไปมีว่า การให้ยังไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้หรือไม่ ได้ความว่าขณะมีการทำสัญญายกให้นี้ทายาททุกคนรวมทั้งทรัสตีได้ตกลงเลิกทรัสต์กันแล้ว โดยให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัสตีในขณะนั้นทำการแบ่งปันมรดกให้แก่บรรดาทายาท ทรัพย์มรดกทั้งหมดจึงมีจำเลยที่ 2 ในฐานะทรัสตีและในฐานะผู้จัดการมรดกในเวลาต่อมาเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาแทนทายาททุกคนเมื่อนางจำรัสทำสัญญาให้โดยเสน่หาตามเอกสารหมาย ล.1 แล้วหม่อมหลวงสาระภีทำบันทึกมอบฉันทะให้นางจำรัสเป็นผู้รับส่วนแบ่งมรดกดังกล่าวแทนไว้ในเอกสารนั้น โดยมีจำเลยที่ 2 ลงชื่อยินยอมและรับรู้การยกให้กับการมอบฉันทะดังกล่าวไว้ในเอกสาร เท่ากับเป็นการตกลงว่าต่อแต่นั้นไปจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนได้ของนางจำรัสแทนหม่อมหลวงสาระภี เป็นการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้โดยปริยายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379การให้ทรัพย์สินในส่วนที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 สำหรับทรัพย์มรดกที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ก็มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนทายาททุกคน การโอนจึงทำได้โดยผู้โอนสั่งผู้แทนว่า ต่อไปให้ยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอนก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1380 วรรคสอง เมื่อนางจำรัสไม่มีชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือสำคัญเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน การให้โดยเสน่หาจึงไม่อาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 525 การรับรู้การยกให้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นการรับว่าต่อไปจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์แทนหม่อมหลวงสาระภีโดยไม่ต้องจดทะเบียนการยกให้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 525 อีกการให้โดยเสน่หาทรัพย์มรดกอันเป็นส่วนของนางจำรัสสมบูรณ์แล้ว
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การให้โดยเสน่หาในทรัพย์มรดกของนางจำรัสเป็นการจำหน่ายสินเดิมอันเป็นสินบริคณห์ เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นสามีย่อมเป็นโมฆียกรรม โจทก์บอกล้างแล้ว นิติกรรมการให้จึงเป็นโมฆะนั้น ปัญหาจึงมีว่า โจทก์ได้บอกล้างโมฆียกรรมนั้นภายในกำหนดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1ให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 นางจำรัสได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งที่ตนมีสิทธิได้รับจากกองมรดกให้แก่หม่อมหลวงสาระภีตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่านางจำรัสทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งมรดกให้แก่หม่อมหลวงสาระภี ตั้งแต่วันที่ 11ตุลาคม 2510 นั้นไม่เป็นความจริง ความจริงหนังสือที่อ้างเป็นหนังสือยกให้ในส่วนแบ่งทรัพย์สิน สิทธิต่าง ๆ และผลประโยชน์อันจะพึงได้รับจากกองมรดกซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้จัดการมรดกจะต้องแบ่งให้แก่นางจำรัสมิใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กล่าวอ้างการให้ยังไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ จะเห็นได้ว่าโจทก์โต้แย้งเพียงว่าหนังสือยกให้ตามเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยที่ 1 นั้นมิใช่หนังสือโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นการให้โดยเสน่หาเท่ากับโจทก์รับว่าหนังสือยกให้ตามเอกสารท้ายคำให้การจำเลยที่ 1 ทำเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 จริง เพียงแต่โต้แย้งว่ามิใช่หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างเท่านั้น โจทก์จะฎีกาว่าหนังสือยกให้นี้ทำเมื่อปี 2521 อันเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วหาได้ไม่ แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยในปัญหานี้ให้ก็เป็นการไม่ชอบคดีต้องฟังว่านางจำรัสทำหนังสือยกให้ดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2510 เมื่อโจทก์เพิ่งมาบอกล้างเมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2527 อันเป็นการบอกล้างเมื่อเกินสิบปีจึงบอกล้างไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143 (มาตรา 181 ที่แก้ไขใหม่) สัญญาให้โดยเสน่หาไม่เป็นโมฆะ ทรัพย์มรดกในส่วนของนางจำรัสได้ตกเป็นของหม่อมหลวงสาระภีแล้ว เมื่อหนังสือมอบฉันทะให้นางจำรัสส่วนแบ่งแทนสิ้นผลเพราะนางจำรัสถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้โจทก์
พิพากษายืน

Share