คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำคนละ2 ปี ขั้นสูงคนละ 4 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา กรณีเป็นเรื่องกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 121 เว้นแต่ (3)ถ้าเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปกักและอบรมตามมาตรา 105 มีกำหนดระยะเวลาขั้นสูงเกิน 3 ปีจึงจะอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปีและขั้นสูง 4 ปี จึงมิใช่การส่งไปกักและอบรม อุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 276 วรรคสอง, 283 (ที่ถูก 285)

จำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง 284 วรรคแรกประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 มีอายุ 17 ปีเศษ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มีอายุ16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 และ 75 ประกอบมาตรา 53 ลงโทษฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา จำคุกคนละ 25 ปี ฐานร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจารจำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 26 ปี จำเลยทั้งหกให้การรับสารภาพลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกคนละ 13 ปี อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2), 105 ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา ส่วนจำเลยที่ 6 ให้ส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีกำหนดขั้นต่ำคนละ 2 ปี ขั้นสูงคนละ 4 ปี นับแต่วันพิพากษา

จำเลยที่ 4 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษหรือส่งจำเลยที่ 4ไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราช

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ส่งตัวจำเลยที่ 4 ไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยที่ 4 ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีกำหนดขั้นต่ำคนละ2 ปี ขั้นสูงคนละ 4 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา กรณีเป็นเรื่องกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 121 ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ เว้นแต่ (3) ถ้าเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปกักและอบรมตามมาตรา 105 มีกำหนดระยะเวลาขั้นสูงเกิน 3 ปี จึงจะอุทธรณ์ได้แต่ในคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยที่ 4 ไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ2 ปี และขั้นสูง 4 ปี จึงมิใช่การส่งไปกักและอบรมตามข้อยกเว้นดังกล่าว ในส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ก็เป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 ดังนั้น จึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 4 อุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดี จึงไม่ชอบ และจำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 4 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share