แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ต่อศาลชั้นต้นอันเกี่ยวเนื่องกับการขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ มิได้ระบุเงื่อนเวลาสิ้นสุด หรือเงื่อนไขบังคับ หลังไว้ ดังนั้นจะแปลความหมายว่าสัญญานี้สิ้นผลเมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาย่อมไม่ได้ ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์อยู่ สัญญาค้ำประกันก็ยังมีผล.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแชร์จากจำเลยในฐานะนายวงแชร์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 63,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องขอทุเลาการบังคับว่าถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยมาให้จนเป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งนี้ ในที่สุดมีนางเขียม ใจแก้วผู้ค้ำประกันเข้ามาทำสัญญาประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นว่า”ฯลฯ นางเขียมใจแก้ว ขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลจังหวัดอำนาจเจริญโดยนำ น.ส.3 ก. มาวางค้ำประกันให้จำเลยและขอรับรองว่าหากจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ในคดีนี้แก่โจทก์จำนวน 63,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นางเขียม ใจแก้ว จะเป็นผู้รับผิดชอบแทนโดยยินยอมชำระเงินตามคำสั่งของศาลแทนจนครบถ้วน ฯลฯ” ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและขอทุเลาการบังคับระหว่างฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยแต่มิได้สั่งรับคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างฎีกาดังกล่าว ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดียึดที่ดิน น.ส.3 ก. ของผู้ค้ำประกันขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ผู้ค้ำประกันยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญาประกันให้ไว้ในการที่จำเลยขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์เท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันก็เป็นอันสิ้นสุดลง การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ระงับการขายทรัพย์ของผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลฎีกายังไม่ได้พิจารณาคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลย ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันจึงยังไม่หมดไปยกคำร้องคัดค้าน
ผู้ค้ำประกันอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ค้ำประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งในปัญหานี้จะต้องพิจารณาว่าในขณะที่โจทก์ขอให้ยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันนั้น สัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันทำต่อศาลชั้นต้นเกี่ยวเนื่องกับการขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์นั้นจะยังมีผลบังคับอยู่หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความในสัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ต่อศาลชั้นต้นมีใจความสำคัญว่า ผู้ค้ำประกันรับรองว่าหากจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ในคดีนี้แก่โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ผู้ค้ำประกันจะเป็นผู้รับผิดชำระแทนจนครบ ตามข้อสัญญานี้มิได้ระบุเงื่อนเวลาสิ้นสุดและเงื่อนไขบังคับหลังไว้แต่อย่างไร ดังนั้นจะแปลความหมายว่าสัญญานี้สิ้นผลเมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาย่อมไม่ได้เงื่อนไขแห่งความรับผิดของผู้ค้ำประกันมีอยู่ว่าหากจำเลยไม่ชำระหนี้ในคดีนี้ ผู้ค้ำประกันจะรับผิดชำระแทน ฉะนั้นตราบใดที่จำเลยยังมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์อยู่ สัญญาค้ำประกันก็ยังมีผลอยู่ สัญญาค้ำประกันนี้จะสิ้นผลก็ต่อเมื่อหนี้ของจำเลยระงับลงประการหนึ่งหรือมีการเลิกสัญญากันอีกประการหนึ่ง หนี้ของจำเลยในคดีนี้อาจจะระงับตามบทบัญญัติกฎหมายลักษณะหนี้ หรือโดยศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาศาลใดศาลหนึ่งพิพากษากลับยกฟ้องโจทก์แต่คดีนี้หาได้ปรากฏเช่นนั้นไม่ ส่วนการที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกานั้น เมื่อศาลยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับและทำสัญญาค้ำประกันฉบับใหม่ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีการเลิกสัญญาค้ำประกันฉบับนี้ สัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ต่อศาลชั้นต้นในคดีนี้จึงยังมีผลบังคับอยู่ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนได้ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกันชอบแล้วส่วนที่ผู้ค้ำประกันอ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 802/2517 นั้น เห็นว่าในคดีดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง เท่ากับว่าไม่มีหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์อีกต่อไป สัญญาค้ำประกันจึงระงับไป ซึ่งต่างจากคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงไม่ตรงกัน…”
พิพากษายืน.