คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยกับพวกขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แล้วจับแขนผู้เสียหายที่ 2ลากลงจากบ้านพาไปข่มขืนกระทำชำเรายังบ้านที่เกิดเหตุ เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกันไม่ขาดตอน และจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยในส่วนนี้ซึ่งเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุก ร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราจึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่หลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 แล้วจำเลยกับพวกใส่กลอนขังผู้เสียหายที่ 2 ไว้ในห้องนอนโดยมีพวกของจำเลยอยู่ข้างล่างทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ไม่อาจหลบหนีไปได้ จึงเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายที่ 2 อีกกรรมหนึ่ง
จำเลยกับพวกร่วมกันจับแขนผู้เสียหายที่ 2 ลากลงจากบ้านเพื่อพาไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อพาเอาตัวผู้เสียหายที่ 2 ไปให้ได้เท่านั้นมิใช่มีลักษณะเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278ประกอบมาตรา 83 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ได้ ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารตามฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง,195 วรรคสองประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกคือจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1818/2543 ของศาลชั้นต้น กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนางจันทร์ รุญโธสง ผู้เสียหายที่ 1 และนางออมสิน สุนทะวงศ์ผู้เสียหายที่ 2 และบริวาร โดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองโดยปกติสุข จากนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ฉุดคร่า กระทำอนาจารร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งมีอายุ 23 ปี โดยผู้เสียหายที่ 2 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และระหว่างวันที่ 14พฤษภาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายที่ 2 ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยโดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธปืน และโดยผู้เสียหายที่ 2 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276 วรรคสอง,278, 284, 310, 362, 364, 365 และคืนของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันบุกรุก ร่วมกันกระทำอนาจาร ร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายจริง แต่ปฏิเสธว่ามิได้กระทำโดยมีอาวุธปืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,284, 310, 362, 364, 365(2)(3) ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 276 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันกระทำอนาจาร จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำคุก1 ปี ฐานร่วมกันบุกรุก จำคุก 2 ปี และฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก6 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 278, 284 วรรคแรก, 310 วรรคแรก,365(2)(3) ประกอบมาตรา 362, 364, 83 ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้าย ความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจาร ความผิดฐานร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยกับพวกขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายที่ 1ทำทีขอน้ำดื่มแล้วร่วมกันจับแขนผู้เสียหายที่ 2 ลากลงจากบ้านพาผู้เสียหายที่ 2 ไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างประมาณ 3 กิโลเมตร จากนั้นจำเลยกับพวกพาผู้เสียหายที่ 2 ขึ้นไปบนบ้านดังกล่าว แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 หลังจากนั้นจำเลยกับพวกใส่กลอนขังผู้เสียหายที่ 2 ไว้ในห้องนอน จนกระทั่งรุ่งเช้ามีคนมาเรียกให้จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ลงจากบ้านแล้วพากันไปพบเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งรออยู่ที่บ้านพวกของจำเลย เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แล้วจับแขนผู้เสียหายที่ 2 ลากลงจากบ้านพาไปข่มขืนกระทำชำเรายังบ้านที่เกิดเหตุนั้น เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกันไม่ขาดตอน และตามพฤติการณ์ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เป็นสำคัญการกระทำของจำเลยในส่วนนี้ซึ่งเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุก ร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา จึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันแต่หลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 แล้วจำเลยกับพวกใส่กลอนขังผู้เสียหายที่ 2 ไว้ในห้องนอนโดยมีพวกของจำเลยอยู่ข้างล่างทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ไม่อาจหลบหนีไปได้ การกระทำของจำเลยในส่วนหลังนี้จึงเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายที่ 2 อีกกรรมหนึ่ง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาปรับบทว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารด้วยนั้นข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันจับแขนผู้เสียหายที่ 2 ลากลงจากบ้านเพื่อพาไปข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งการจับแขนดังกล่าวมีลักษณะเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อพาเอาตัวผู้เสียหายที่ 2 ไปให้ได้เท่านั้น หาใช่มีลักษณะเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 ไม่ และในระหว่างที่พาผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกได้กระทำการอย่างไรบ้างอันมีลักษณะเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ประกอบมาตรา 83 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ได้ ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารตามฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสองประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225”

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันบุกรุก ร่วมกันพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี และลงโทษฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 ปี ยกฟ้องความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share