คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3666/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้พนักงานสอบสวนยึดทรัพย์ของกลางไว้ในชั้นสอบสวนเพื่อดำเนินคดีและตกลงให้โจทก์ร่วมรับมอบทรัพย์ดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ในระหว่างดำเนินคดีมิใช่คดีที่มีข้อหาหรือข้อกล่าวอ้างที่พิพาทกันว่า โจทก์ร่วมยึดถือครอบครองทรัพย์ของกลางของจำเลยที่ 1 ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายในอันที่จะพิจารณาและพิพากษาบังคับให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์นี้แก่จำเลยที่ 1 แต่อย่างใด คำพิพากษาที่ให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางแก่จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่คำพิพากษาบังคับในลักษณะให้โจทก์ร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 249 ประกอบกับ ป.วิ.พ. ว่าด้วยการบังคับคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ 1 ถึง 6 แก่ผู้เสียหาย ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสาม และให้จำเลยทั้งสามคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ 1 ถึงที่ 6 แก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และให้คืนทรัพย์ของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ 7 ถึง 14 แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของ โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์และโจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ 7 ถึง 14 ให้จำเลยที่ 1 แต่โจทก์และโจทก์ร่วมไม่ยอมคืนทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับแล้ว แต่โจทก์และโจทก์ร่วมก็ยังไม่ยอมส่งคืนทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ซึ่งศาลชั้นต้นก็ออกหมายบังคับคดีให้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าโจทก์ร่วมจงใจไม่คืนทรัพย์ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับกรรมการบริษัทโจทก์ร่วมมาเพื่อบังคับคดีให้คืนทรัพย์แก่โจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายจำนงค์กรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมมากักขังเพื่อบังคับคดี
โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า การที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้คืนทรัพย์ของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ 7 ถึง 14 แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของ หมายถึงการให้พนักงานสอบสวนผู้เก็บรักษาทรัพย์ดังกล่าวคืนทรัพย์นี้แก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานี้ต่อโจทก์ร่วม จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นบังคับคดีแก่โจทก์ร่วม พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องของโจทก์อันดับที่ 7 ถึง 14 เป็นทรัพย์ที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลางในชั้นสอบสวนเพื่อดำเนินคดีนี้ และต่อมาพนักงานสอบสวนตกลงให้โจทก์ร่วมรับมอบทรัพย์ดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ในระหว่างการดำเนินคดี มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์ร่วมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้คืนทรัพย์ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต่อโจทก์ร่วมแล้ว จึงมีสิทธิในการบังคับคดีได้เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคหนึ่ง และ 132 (4) พนักงานสอบสวนมีอำนาจค้นและยึดสิ่งของซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ดังนั้น การที่พนักงานสอบสวนยึดทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องของโจทก์อันดับที่ 7 ถึง 14 ไว้เป็นของกลาง จึงเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 85 วรรคหนึ่ง และ 132 (4) ดังกล่าว และพนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ต้องคืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม จึงเห็นได้ว่าเมื่อทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เพื่อการสอบสวนและดำเนินคดีจนคดีถึงที่สุด การที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้คืนทรัพย์เหล่านี้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นเพียงการวินิจฉัยและพิพากษาในเรื่องของกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) ซึ่งในคดีนี้ย่อมหมายถึงการพิพากษาถึงทรัพย์ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้นั้นให้ดำเนินการโดยให้คืนแก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของ อันเป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนผู้ยึดทรัพย์ของกลางนี้ไว้เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวนั่นเอง โดยที่คดีนี้มิใช่คดีที่มีข้อหาหรือข้อกล่าวอ้างที่พิพาทกันว่า โจทก์ร่วมยึดถือหรือครอบครองทรัพย์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายในอันที่จะพิจารณาและพิพากษาบังคับให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์นี้แก่จำเลยที่ 1 แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้คืนทรัพย์ของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องของโจทก์อันดับที่ 7 ถึง 14 จึงไม่ใช่คำพิพากษาบังคับในลักษณะให้โจทก์ร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 249 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำร้องของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share