คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การขายอสังหาริมทรัพย์รายใดหากไม่เข้าลักษณะตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน ป.รัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มาตรา 3 (1) ถึง (5) ว่าเป็นการขายที่เป็นทางค้าหรือหากำไรแล้ว จึงจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ใน (6) ต่อไปว่าการขายนั้นได้กระทำภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้อสังหาริมทรัพย์มาหรือไม่ หากเป็นการขายภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ให้ถือว่าเป็นการขายที่เป็นทางค้าหรือหากำไรอันพึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย ดังนั้น เมื่อที่ดินแปลงที่โจทก์ขายเป็นที่นาที่ใช้ในเกษตรกรรมซึ่งเป็นที่ดินที่โจทก์ใช้ประกอบกิจการแต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามความใน (5) ที่กฎหมายกำหนดให้ได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ใน (6) อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2545 จำเลยประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะจากการที่โจทก์ขายที่นาโฉนดเลขที่ 20085 ตำบลเทพนคร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ที่บิดายกให้เมื่อปี 2536 แก่บริษัทผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้าง จำกัด ในปี 2539 รวมทั้งเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นเป็นเงิน 590,287.50 บาท ทั้งที่เป็นการขายที่ดินที่โจทก์ใช้ในเกษตรกรรมซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีประเภทดังกล่าวตามมาตรา 3 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 โจทก์จึงอุทธรณ์คัดค้าน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพียงแต่วินิจฉัยให้งดเบี้ยปรับ และลดภาษีส่วนท้องถิ่นโดยยังคงเรียกเก็บอีก 293,287.50 บาท จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า แม้ที่ดินที่โจทก์ขายจะเป็นที่นาที่โจทก์ใช้ในเกษตรกรรมแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ขายภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้รับโอนมาจากบิดาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามความในมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่โจทก์กล่าวอ้างเพราะถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (6) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะแก่โจทก์ รวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าว โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางว่า โจทก์ขายที่นาโฉนดเลขที่ 20085 ตำบลเทพนคร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งโจทก์ใช้ในเกษตรกรรมแก่บริษัทผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้าง จำกัด ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้รับโอนมาจากบิดา จำเลยจึงประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะให้โจทก์ชำระภาษีพร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า การขายที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 หรือไม่ เห็นว่า ความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้กำหนดว่า “ให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากรมีดังต่อไปนี้ (5) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ แต่ไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้นั้นใช้ในเกษตรกรรม (6) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5) ที่ได้กระทำภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น…” เนื้อความในกฎหมายแสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดว่าการขายอสังหาริมทรัพย์รายใดหากไม่เข้าลักษณะตามที่กำหนดไว้ใน (1) ถึง (5) ว่าเป็นการขายที่เป็นทางค้าหรือหากำไรแล้ว จึงให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ใน (6) ต่อไปว่าการขายนั้นได้กระทำภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้อสังหาริมทรัพย์มาหรือไม่ หากได้ความว่าเป็นการขายภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ให้ถือว่าเป็นการขายที่เป็นทางค้าหรือหากำไรอันพึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย ดังนั้น เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่าที่ดินแปลงที่โจทก์ขายเป็นที่นาที่ใช้ในเกษตรกรรมซึ่งเป็นที่ดินที่โจทก์ใช้ประกอบกิจการแต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามความใน (5) ที่กฎหมายกำหนดให้ได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ใน (6) อีก คำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์

Share