คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำเบิกความของ ส.พยานโจทก์เบิกความไม่แน่ชัด จำเลยที่ 2 ไม่สามารถเข้าใจ คำฟ้องของโจทก์ได้ดี โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอคำบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างใด ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ 2 โต้แย้งปัญหาในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายในนามของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่เป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและโจทก์เสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของ จำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ไว้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ตกไป เพราะจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ 2 ไปว่ากล่าว เอากับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ดังกล่าวนั้นจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๙๗ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ เวลากลางวัน นายสว่างลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกแบบลากจูง หมายเลขทะเบียน ๑ ล-๑๑๒๓ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๒ และได้บรรทุกรถแทรกเตอร์มาบนรถยนต์คันดังกล่าวอันเป็นกิจการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ โดยขับมาถึงตรงสามแยกเกษตรเหนือถนนงามวงศ์วาน มีสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์พาดข้ามถนนอยู่โดยยึดติดกับเสาไฟฟ้าสามารถเห็นไได้ในระยะไกล นายสว่างขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบรรทุกรถแทรกเตอร์มาด้วยมีความสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ส่วนบนของรถแทรกเตอร์ที่บรรทุกมานั้นเกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายจ้างต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวและยังอยู่ในระยะเวลาประกันภัย จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า นายสว่างลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ จำเลยที่ ๑ และลูกจ้างไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ได้รับประกันรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ ไว้จริง แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องร่วมรับผิด ตามสัญญาประกันภัยเพราะนายสว่างขับรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนเองหรือผู้มีชื่ออื่นไปปฏิบัติงานในธุรกิจส่วนตัวหรือของผู้มีชื่อ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นนายจ้างของนายสว่าง จำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับนายสว่างและเหตุเกิดขึ้นเป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจร ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและเสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม นายสว่างลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุโดยประมาทเป็นเหตุให้เกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกับนายสว่างลูกจ้างในผลแห่งการละเมิด จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๔ เวลากลางวัน นายสว่างลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถบรรทุกลากจูงคันหมายเลขทะเบียน ๑ ล-๑๑๒๓ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๒ บรรทุกรถแทรกเตอร์ไปเกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำเบิกความของนายสัมพันธ์พยานโจทก์เบิกความไม่แน่ชัด จำเลยที่ ๒ ไม่สามารถเข้าใจคำฟ้องของโจทก์ได้ดีโดยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้โต้แย้งเลยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างใด ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ ๒ โต้แย้งปัญหาในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ข้อนี้ชอบแล้ว
แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันเกิดเหตุ มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ต้องเสียหายในนามของจำเลยที่ ๑ ตามกรมธรรม์ประกันภัยก็จริง แต่จำเลยที่ ๒ ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะเหตุที่เกิดขึ้นคดีนี้ไม่ใช่ความประมาทของคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ แต่เป็นความประมาทของโจทก์ที่ขึงสายโทรศัพท์ห้อยต่ำมากีดขวางทางจราจรและเสียหายไม่ถึงตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยที่ ๒ ในปัญหานี้ไว้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแพ้คดี จำเลยที่ ๑ ไม่อุทธรณ์ก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ ที่ปฏิเสธในความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ ๑ ตกไป เพราะจำเลยที่ ๒ เป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ตั้งประเด็นต่อสู้กับโจทก์ไว้แล้วจะเกณฑ์ให้จำเลยที่ ๒ ไปว่ากล่าวเอากับจำเลยที่ ๑ ในการที่จำเลยที่ ๑ ไม่อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหาได้ไม่
เนื่องด้วยคดีนี้คู่ความได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว เห็นควรวินิจฉัยในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนแล้ววินิจฉัยว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทของนายสว่างซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ความประมาทของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถบรรทุกคันดังกล่าวจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ ด้วย ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน.

Share