แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำความผิดคดีนี้กับคดีก่อนในข้อหาความผิดอย่างเดียวกันการกระทำความผิดทั้งสองคดีอยู่ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ผู้เสียหายส่วนมากเป็นรายเดียวกันและพยานหลักฐานส่วนใหญ่เป็นชุดเดียวกัน หากโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันศาลจะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ดังนี้ เมื่อโจทก์แยกฟ้องคดีนี้ แม้ศาลมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน ก็จะลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 91 ทั้งสองสำนวน และให้นับโทษต่อกันไม่ได้ เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่มาตรา 91 บัญญัติไว้ และกรณีนี้แม้คดีที่ศาลสั่งให้นับโทษต่อถึงที่สุดแล้วก็ตาม จำเลยก็ยื่นคำร้องขอไม่ให้นับโทษต่อได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยแต่ละกรรมเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลง
โทษตามมาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกกระทงละ ๕ ปี ลงโทษแล้วคงจำคุก ๑๘๕ ปี แต่ให้จำคุกจำเลยไว้ ๕๐ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ (๓) ให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาแดงเลขที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องว่านับโทษต่อกันไม่ได้
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าจะนับโทษของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าชณะจำเลยกระทำผิดคดีนี้และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนประจำสำนักงานปศุสัตว์ จังหวัดขอนแก่น ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ มีหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่การเงินการบัญชี รับผิดชอบการเบิกจ่างเงิน รักษาเงินทำงบเดือนบัญชีตลอดทั้งรับผิดชอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับด้านการเงินของสำนักงานดังกล่าว จำเลยกระทำผิดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ ระหว่างวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๐ ถึงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒ และกระทำผิดคดีนี้ระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๙ ถึงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาเดียวกันและคาบเกี่ยวกัน ข้อหาความผิดอย่างเดียวกันคือความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดเกี่ยวกับเอกสาร และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๒ อันเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยกระทำผิดครั้งสุดท้ายเพียง ๒ วัน น่าจะทำการสอบสวนเดียวกันได้เนื่องจากโจทก์อาจสั่งฟ้องจำเลยสำหรับความผิดคดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษต่อเป็นคดีเดียวกันได้เนื่องจากโจทก์และจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันและผู้เสียหายคือกรมปศุสัคว์และบุคคลอื่นซึ่งส่วนมากเป็นรายเดียวกัน หยานหลักฐานส่วนใหญ่น่าจะเป็นชุดเดียวกัน หากโจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละความผิดเป็นรายสำนวนไปและศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทุกสำนวนเข้าด้วยกัน ศาลจะลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ เมื่อโจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษต่อโดยศาลมิได้สั่งรวมพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน แล้วศาลลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๙๑ ทั้งสองสำนวนแล้ว ศาลก็นับโทษจำเลยต่อกันไม่ได้เพราะจำทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ บัญญัติไว้ ปรากฏว่าจำเลยถูกคุมขังในคดีนี้เพียง ๙๐ วันเท่านั้น นับแต่วันถูกจับกุมคดีนี้ จากนั้นจำเลยถูกคุมขังในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ ตลอดมา จึงต้องนับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้นับตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีนี้เป็นต้นไปโดยหักวันที่ถูกคุมขังมาแล้ว ๙๐ วันออกให้หาใช่นับแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยถูกคุมขังในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ ดังที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับไม่ให้นับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๒๙๑/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น และให้นับโทษจำคุกคดีนี้ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๙ เป็นต้นไปโดยให้หักวันที่ถูกคุมขังมาแล้ว ๙๐ วันออก