คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2467

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พิจารณาแพ่ง ฎีกาอนาถามูลที่จะฎีกา ได้มากฎีกาขอเอาแต่น้อย ฐานะของผู้แซกแซงขอรับส่วนแบ่งมรฎกเข้ามาในคดี

ย่อยาว

โจทย์จำเลยเปนชนชาติอิศลามพิภาษกันด้วยเรื่องมรฎกรวมทั้งที่ดินในจังหวัดปัตตานีแลทรัพย์เคลื่อนที่ได้ โจทย์ฟ้องขอส่วนแบ่ง ๑ ใน ๓ ของทรัพย์มรฎกทั้งหมด แลมี บ. ยื่นคำร้องเข้ามาในสำนวนขอส่วนแบ่งด้วย
ศาลมณฑลปัตตานีตัดสินให้แบ่งมรฎกตามประเพณีอิศลาม คือให้แบ่งเปน ๕ ส่วนให้โจทย์จำเลยได้คนละส่วน (๑/๕) แต่ บ. ให้ได้ ๒ ส่วน
ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษพิพากษาให้บังคับคดีตามกฎหมายมรฎก คือให้แบ่งเปน ๔ ส่วนให้ได้คนละส่วนเท่ากัน (๑/๔)
โจทย์แล บ. ฎีกาอนาถาขอให้บังคับคดีตามศาลเดิม
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทย์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ศาลพิพากษาให้มากแล้ว กลับมาฎีกาขอเอาแต่น้อยดังนี้จึงไม่เห็นว่าฎีกาอนาถาของโจทย์มีมูลอะไรเลย
ปัญหาที่ว่าจะควรบังคับคดีนี้ตามกฎหมายมรฎกหรือตามประเพณีสาสนาอิศลามนั้นเปนปัญหาสำคัญ แต่ก่อนที่จะวินิจฉัยปัญหานั้นจะต้องได้ความว่าโจทย์มีอำนาจที่จะนำปัญหานี้มาสู่ศาลฎีกาได้ เมื่อฎีกาของโจทย์ไม่มีมูลแล้ว ก็ยังไม่ถึงเวลาที่วินิจฉัยปัญหาสำคัญนั้น
ส่วนผู้ร้องเปนผู้ได้รับความได้เสียก็จริงแต่ผู้ร้องหาได้เปนโจทย์จำเลยด้วยไม่ เปนแต่แทรกเข้ามาเท่านั้น เมื่อโจทย์ไม่มีอำนาจฎีกาได้ ฎีกาของผู้ร้องก็เปนอันตกไปด้วย เพราะฐานะของผู้ร้องอาศรัยสำนวนโจทย์เปนหลักตามตัวอย่างฎีกาที่ ๓๓๕/๒๔๖๓ จึงให้ยกฎีกาอนาถาของโจทย์แลผู้ร้องเสีย แต่ไม่ตัดอำนาจที่ผู้ร้องจะฟ้องร้องคดีต่อไป

Share