คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3498/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ จึงไม่มีประเด็นในเรื่องดังกล่าวทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ในคดีแพ่ง มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่อาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าทองรูปพรรณต่อโจทก์จำนวน 70,200 บาท ที่จำเลยฎีกาว่า การนำสืบพยานโจทก์แตกต่างในข้อสาระสำคัญไปจากคำฟ้องเป็นการสืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่ากับอ้างว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าทองรูปพรรณต่อโจทก์ตามฟ้องเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องจำเลยได้ให้การและเบิกความว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้และทองรูปพรรณต่อโจทก์และจำเลยได้ลงลายมือชื่อในคำให้การและคำเบิกความด้วยความสมัครใจ บันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความดังกล่าวจึงใช้และรับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมในคดีแพ่งได้ แม้จะมิใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยต้องหาก็ตามแต่ก็ถือได้ว่าบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมกราคม 2539 จำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าซื้อทองรูปพรรณจากโจทก์ รวมเป็นเงินจำนวน 70,200 บาท จำเลยได้ทำหนังสือไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2541 จำเลยแจ้งให้โจทก์ไปรับชำระหนี้ แต่จำเลยกลับทำร้ายร่างกายโจทก์และทำลายหลักฐานสัญญากู้ โจทก์ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาคดีอาญา จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความต่อศาลว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าซื้อทองรูปพรรณโจทก์เป็นเงินจำนวน 70,200 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 71,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 70,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 70,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังยุติว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าทองรูปพรรณต่อโจทก์จำนวน 70,200 บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า แม้ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ จึงไม่มีประเด็นในเรื่องดังกล่าว ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ในคดีแพ่งนี้ มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงไม่อาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ที่จำเลยฎีกาในประการต่อมาว่า การนำสืบพยานโจทก์ตามบันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่าทำร้ายร่างกายตามบันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 นั้น แตกต่างในข้อสาระสำคัญไปจากคำฟ้อง เป็นการสืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าทองรูปพรรณต่อโจทก์จำนวน 70,200 บาท ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า การนำสืบของพยานโจทก์แตกต่างในข้อสาระสำคัญไปจากคำฟ้องเท่ากับอ้างว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้และค่าทองรูปพรรณต่อโจทก์ตามฟ้องเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายในประการสุดท้ายว่า คำให้การและคำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่าทำร้ายร่างกายตามบันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มิใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยต้องหา จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้นั้น เห็นว่า จำเลยได้ให้การและเบิกความโดยสมัครใจว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้และทองรูปพรรณต่อโจทก์และได้ลงลายมือชื่อในคำให้การและคำเบิกความด้วยความสมัครใจ บันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความดังกล่าวจึงใช้และรับฟังเป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมนี้ได้ แม้จะมิใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยต้องหาก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share