คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเด็กชาย ณ. เข้าสืบยังอยู่ระหว่างการนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้แถลงหมดพยานทั้งหมดแม้จำเลยจะนำพยานเข้าสืบบ้างแล้วแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามโจทก์นำ พยานมาสืบเพิ่มในกรณีนี้ทั้งการที่โจทก์นำเด็กชาย ณ. เข้าสืบเกี่ยวกับสาเหตุมรณกรรมของ ส.ผู้เอาประกันชีวิตไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะพยานที่จำเลยนำเข้าสืบก่อนเด็กชาย ณ. ไม่ได้นำสืบถึงสาเหตุมรณกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด และจำเลยมีโอกาสนำพยานมาสืบต่อเพื่อหักล้างคำพยานของเด็กชาย ณ. จึงรับฟังคำพยานของเด็กชาย ณ. ได้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นภรรยาไปเก็บเบี้ยประกันภัย เมื่อโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ 3 แม้จำเลยที่ 1 จะยังไม่ออกหลักฐานการรับชำระเบี้ยประกันภัยให้ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยแล้วโดยผ่านทางจำเลยที่ 2.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญารับประกันชีวิตนายสุทธีไชยสงคราม โดยตกลงว่าถ้าตายโดยเหตุธรรมดาจำเลยที่ ๑ จะชดใช้เงิน ๑๒,๒๙๐ บาท ถ้าตายด้วยอุบัติเหตุจะชดใช้เงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทนเชิด นายสุทธีและโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยล่วงหน้าครั้งละ ๖ เดือนตลอดมาครั้งสุดท้ายชำระให้แก่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้เก็บเงินประจำเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๓ อ้างว่าเมื่อได้ใบเสร็จรับเงินจากสำนักงานแล้วจะนำไปมอบให้ นายสุทธีถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุในระหว่างอายุสัญญาเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๕ โจทก์ขอรับเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ชำระโดยอ้างว่าตัวแทนไม่นำเบี้ยประกันภัยไปส่ง ขอให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ร่วมกันชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ขณะนายสุทธีถึงแก่กรรมกรมธรรม์ประกันชีวิตสิ้นผลบังคับแล้วเพราะนายสุทธีขาดส่งเบี้ยประกันภัยจำเลยที่ ๑ ไม่เคยแต่งตั้งหรือเชิดจำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทนเก็บเบี้ยประกันภัย หากจำเลยที่ ๒ มอบหมายให้จำเลยที่ ๓ ไปเก็บก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ เพราะการชำระเบี้ยประกันภัยต้องชำระแก่ตัวแทนผู้ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยที่ ๑ และมีใบเสร็จรับเงินนายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะการเจ็บป่วยธรรมดา โจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินประกันชีวิตเพียง ๑๒,๒๙๐ บาท ซึ่งโจทก์ได้เรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๓ แล้วขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยมอบให้จำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทนไปเก็บเบี้ยประกันภัย จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจตั้งตัวแทนกรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเพราะนายสุทธีขาดชำระเบี้ยประกันภัย นายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะเหตุเจ็บป่วยมิใช่อุบัติเหตุ
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะอุบัติเหตุ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำเด็กชายณรงค์ ไชยสงคราม เข้าสืบขัดต่อกฎหมายเพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ จึงรับฟังคำพยานปากนี้ไม่ได้นั้น เห็นว่าขณะโจทก์นำเด็กชายณรงค์เข้าสืบยังอยู่ระหว่างการนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้แถลงหมดพยานทั้งหมด แม้จำเลยจะนำพยานเข้าสืบบ้างแล้วแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามโจทก์นำพยานมาสืบเพิ่มในกรณีนี้ ทั้งการที่โจทก์นำเด็กชายณรงค์เข้าสืบไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะโจทก์นำสืบเด็กชายณรงค์ถึงสาเหตุมรณกรรมของนายสุทธี แต่พยานที่จำเลยนำเข้าสืบก่อนเด็กชายณรงค์ไม่ได้นำสืบถึงสาเหตุมรณกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด และจำเลยมีโอกาสนำพยานมาสืบต่อเพื่อหักล้างคำพยานของเด็กชายณรงค์ จึงรับฟังคำพยานของเด็กชายณรงค์ได้
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายสุทธีถึงแก่กรรมเพราะประสบอุบัติเหตุและโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ที่จำเลยที่ ๒ ตัวแทนของจำเลยที่ ๑ มอบหมายให้ไปเก็บ แล้ววินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะยังไม่ออกหลักฐานการรับชำระเบี้ยประกันภัยให้ เมื่อฟังว่าจำเลยที่ ๓ ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยงวดประจำเดือนมกราคม – มิถุนายน ๒๕๒๕ แล้ว ตามที่จำเลยที่ ๒ มอบหมาย จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับชำระเบี้ยประกันภัยแล้วโดยผ่านทางจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนกรมธรรม์ฉบับพิพาทจึงยังไม่สิ้นผลบังคับ ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share