คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตาม พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2524ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดจากผู้กู้ยืมสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี แต่ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศให้สถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว แม้ประกาศดังกล่าวหากมีอยู่จริงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ศาลจะรับรู้เอง และมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เอง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราตามที่โจทก์อ้าง ซึ่งเกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายกำหนด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 156,237.25 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี ในต้นเงิน 88,500 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนจนครบ และถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 นำต้นเงินไปชำระแก่โจทก์หลายครั้ง แต่โจทก์มิได้หักให้จำเลยที่ 1โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินจากความเป็นจริง ไม่ถูกต้อง และคิดดอกเบี้ยเกินอัตราโดยมิชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 156,237.25 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี จากต้นเงิน88,500 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้บังคับเอากับทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 จำนองไว้กับโจทก์ คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 207 หมู่ที่ 10 ตำบลบ่อนอก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถ้าได้เงินไม่พอใช้หนี้ให้บังคับเอากับทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสองได้จนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน127,735.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 88,500 บาท ให้โจทก์นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีและ 15.5 ต่อปีตามที่นำสืบได้หรือไม่ โจทก์อ้างในฎีกาว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงินมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2524 ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดจากผู้กู้ยืมสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี แต่ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศให้สถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว เห็นว่า แม้ประกาศดังกล่าวหากมีอยู่จริงก็ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ศาลจะรับรู้เองและมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เองแต่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 16ต่อปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญารับใช้หนี้เอกสารหมาย จ.3 หรือในอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี ที่โจทก์ลดให้ในภายหลังซึ่งเกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนการที่ทนายจำเลยทั้งสองไม่ถามค้านพยานโจทก์เมื่อเบิกความว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยกับจำเลยในอัตราร้อยละ16 ต่อปี ทั้งที่จำเลยให้การว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่อาจถือเป็นการรับว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีดังที่โจทก์อ้าง อย่างไรก็ดีเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2530ตามสัญญาก็ถือว่าจำเลยผิดนัด ต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 คือตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2530 เป็นต้นไป โดยคิดจากต้นเงิน 88,500 บาท ตามที่ระบุในสัญญา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 127,735.25 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 88,500 บาท ให้โจทก์นับแต่วันที่1 เมษายน 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share