แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต และขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส นั้น ความผิดฐานขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต เป็นความผิดคนละกระทงกับความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
การฟ้องคดีความผิดหลายกระทงนั้น โจทก์จะฟ้องแต่ละกระทงความผิดรวมในคดีเดียวกันก็ได้ หรือแยกฟ้องแต่ละกระทงความผิดเป็นคดี ๆ ไปก็ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๐๗ เวลากลางคืน จำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลไปตามถนนสายย่านยาวตลาดตะกั่วป่า ด้วยความประมาทกล่าวคือ จำเลยไม่มีใบอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ จำเลยได้ขับรถไปถึงเขตบ้านน้ำใสซึ่งเป็นทางลาดขึ้นเนินสูงจำเลยได้กลับรถบนเนินสูงซึ่งเป็นทางร่วมทางแยก ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ในระยะกระชั้นชิด ทั้งไม่ได้ให้แตรสัญญาณแต่อย่างใด เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยชนรถจักรยานยนต์ซึ่งมีนายสมบูรณ์ ซื้อหาเป็นผู้ขับขี่ นายสมบูรณ์หรืออ้วน ฟูสันติ นั่งซ้อนท้ายล้มลง คนทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ พระราชบัญญัติจรจรทางบก พ.ศ.๒๔๗๗ มาตรา ๑๔, ๒๙, ๖๖ พระราชบัญญัติจราจรทางบก(ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๘๑ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติรถยนต์ พงศ. ๒๔๗๓ มาตรา ๓๓
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดอันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวที่เป็นผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลย ๓ เดือน ลดโทษตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔๕ วัน ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ เป็นความผิดต่างกรรม โจทก์ไม่ได้แยกกระทงไว้ในฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๐ จึงไม่พิจารณาลงโทษจำเลยให้
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ ด้วย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ฯ เป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานอื่นที่ศาลลงโทษไปแล้ว บทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นลงโทษ ก็เป็นบทที่มีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ อยู่แล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พงศ.๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายฐานความผิดของจำเลยด้วยว่า จำเลยไม่มีใบอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ ทั้งได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามความผิดนี้ และจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพผิดฐานนี้ด้วย แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๒ มาตรา ๓๓ เป็นความผิดต่างกรรมโจทก์ไม่ได้แยกกระทงไว้ในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๑๖๐ จึงไม่พิจารณาลงโทษจำเลยให้ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย เพราะการที่จำเลยขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์นั้น เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ กระทงหนึ่งแล้ว การฟ้องคดีความผิดหลายกระทงนั้น โจทก์จะฟ้องแต่ละกระทงความผิดรวมในคดีเดียวกันก็ได้ หรือแยกฟ้องแต่ละกระทงความผิดเป็นคดี ๆ ไปก็ได้ ที่ศาลชั้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่มีโทษหนักและไม่ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ ด้วยนั้น ยังมิชอบ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ศาลฎีกาจึงพร้อมกันพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ อีกกระทงหนึ่ง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ อันเป็นกระทงที่หนัก ส่วนโทษนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น