คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3442/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลก็พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205ข้ออ้างตามฟ้องคดีนี้ของโจทก์คือ จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เกินกว่าห้าสิบบาทซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 โจทก์จะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 เป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ เมื่อปรากฏว่า สัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาฟ้องร้องจำเลยที่ 1 ได้
เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ผู้กู้และจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกัน ร่วมกันชำระเงิน ๔๒,๑๒๓ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๕,๕๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน ๓๕,๕๐๐บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ ตุลาคม๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่า จำเลยขาดนัดนั้นไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ ข้ออ้างของโจทก์สำหรับคดีนี้คือการกู้ยืม ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์หรือไม่ การกู้ยืมเงินตามที่โจทก์อ้างเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่าห้าสิบบาท โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีจำเลยที่ ๑ ได้ โจทก์จะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยที่ ๑ มาแสดงต่อศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ และถ้าหลักฐานดังกล่าวเป็นสัญญากู้ยืมก็จะต้องอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลรัษฎากรว่าจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยถือจำนวนเงินที่กู้ยืมเป็นเกณฑ์คำนวณ คือปิดอากรแสตมป์ราคา ๑ บาท ทุกจำนวนเงินกู้ ๒,๐๐๐ บาท ตามอัตราดังกล่าว สัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องจะต้องปิดอากรแสตมป์จำนวน ๔๐ บาท แต่ปิดอากรแสตมป์มาเพียง ๑๐ บาทจึงไม่บริบูรณ์ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดอันต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งห้ามมิให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง โจทก์จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ ๑ ได้ และเมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดด้วย
พิพากษายืน

Share