แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินให้แก่เจ้าหนี้ โดยโจทก์เป็นผู้รับอาวัลโจทก์ไม่ใช่ลูกหนี้โดยตรง เพียงแต่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินในเมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายไม่ชำระ ความผูกพันของโจทก์จำเลยซึ่งมีต่อเจ้าหนี้ผู้ทรงตั๋วแลกเงิน.จึงมิใช่เป็นลูกหนี้ร่วมกันจะต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 296 แม้มาตรา 967 จะบัญญัติให้ผู้สั่งจ่ายและผู้รับอาวัลต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง ก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้ทรงในอันที่จะว่ากล่าวเรียกเงินตามตั๋ว แต่ในระหว่างผู้สั่งจ่ายกับผู้รับอาวัล ผู้สั่งจ่ายจะต้องชำระเงินตามจำนวนที่ระบุในตั๋วแลกเงินก่อน หากผู้สั่งจ่ายไม่ชำระผู้รับอาวัลจึงต้องรับผิดชดใช้ให้ เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน และโจทก์ใช้เงินให้เจ้าหนี้ผู้ทรงตั๋วแลกเงินไปแล้วบางส่วนโดยมีหลักฐานการชำระหนี้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในอันจะไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งโจทก์ประกันไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคสามโดยหาจำต้องชำระแล้วทั้งหมดหรือถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินในตั๋วแลกเงินไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเงินธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาตรังไป๓๕๐,๐๐๐ บาท โดยออกตั๋วแลกเงินให้ และโจทก์เป็นผู้รับอาวัล จำเลยผิดนัดธนาคารฯ ฟ้องจำเลยและโจทก์ให้ชำระเงินตามตั๋วแลกเงินรวมทั้งค่าธรรมเนียมเป็นเงิน ๔๙๖,๐๖๐.๒๖ บาท ศาลพิพากษาให้จำเลยและโจทก์ใช้เงินจำนวนนี้คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ ธนาคารฯ บังคับคดีให้โจทก์ชำระแทนจำเลย โจทก์ได้ชำระไปแล้วเป็นเงิน ๑๗๙,๕๓๔ บาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้รายนี้แก่โจทก์ จำเลยเพิกเฉยโดยไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ถือว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์จำเลยต้องรับผิดในหนี้ร่วมกัน โจทก์ชำระหนี้ให้ธนาคารไปยังไม่ถึงกึ่งที่โจทก์จะต้องรับผิด โจทก์ไม่อยู่ในฐานะรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้รับอาวัลค้ำประกันการใช้เงินตามตั๋วแลกเงินที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาตรัง เป็นเงิน๓๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงมิใช่เป็นลูกหนี้โดยตรงที่จะพึงต้องจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินฉบับนั้น โจทก์เพียงแต่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินนั้นในเมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายไม่ชำระเงินตามตั๋วแลกเงินความผูกพันของโจทก์จำเลยที่มีต่อธนาคารผู้ทรงตั๋วแลกเงินจึงมิใช่เป็นลูกหนี้ร่วมกันจะต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๖ จะนำบทบัญญัติดังกล่าวแล้วมาใช้บังคับแก่กรณีนี้ดังที่จำเลยฎีกาหาได้ไม่ และที่มาตรา ๙๖๗บัญญัติให้ผู้สั่งจ่ายและผู้รับประกันด้วยอาวัลต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรงนั้นก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้ทรงในอันที่จะว่ากล่าวเรียกเงินตามตั๋ว แต่ในระหว่างผู้สั่งจ่ายกับผู้รับประกันด้วยอาวัลผู้สั่งจ่ายจะต้องชำระเงินตามจำนวนที่ระบุในตั๋วแลกเงินก่อน หากผู้สั่งจ่ายไม่ชำระผู้รับประกันด้วยอาวัลจึงต้องรับผิดชดใช้ในกรณีนี้ปรากฏว่าจำเลยไม่ชำระเงินตามตั๋วแลกเงินให้ธนาคาร และโจทก์ใช้เงินให้ธนาคารไปแล้วบางส่วน โดยมีหลักฐานการชำระหนี้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในอันจะไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งโจทก์ประกันไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๔๐ วรรค ๓ โดยไม่จำต้องชำระแล้วทั้งหมด หรือถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินในตั๋วแลกเงินดังที่จำเลยฎีกา ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยเป็นผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ก็เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะได้นำสืบต่อไปตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน