คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3426/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 108 กำหนดว่า ถ้าทำตราสารหลายลักษณะตามที่ระบุบัญชีอัตราอากรแสตมป์บนกระดาษแผ่นเดียวกันหรือเป็นฉบับเดียวกัน ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ให้ครบทุกลักษณะหรือทุกเรื่อง โดยปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นรายตราสารแยกไว้ให้ปรากฎว่าตราสารใดอยู่ที่ใด และแสตมป์ดวงใดสำหรับตราสารลักษณะหรือเรื่องใด การที่โจทก์อ้างสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ซึ่งทำรวมกันมาในฉบับเดียว และปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้เงินเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ และเกินกว่าจำนวนที่ให้ปิดในสัญญาค้ำประกัน ดังนี้ ไม่อาจถือได้ว่าการที่ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้นั้นเป็นการปิดอากรแสตมป์ในสัญญาค้ำประกันด้วยสัญญาค้ำประกันจึงปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งหาได้ไม่ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2527 จำเลยที่ 1กู้เงินโจทก์จำนวน 60,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีโดยจะชำระคืนภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 62,743 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ ความจริงนางมาลี จิวสืบพงษ์ บุตรจำเลยเป็นผู้กู้ แล้วโจทก์มาขอให้จำเลยทั้งสองรับโอนหนี้โดยให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้กู้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในแบบพิมพ์โดยไม่กรอกข้อความต่อจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์วันละ 1,000 บาท กับดอกเบี้ยต่างหาก จนถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2527 จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่3,000 บาท จำเลยจึงได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์รวม2 ฉบับ ๆ ละ 1,650 บาท แต่โจทก์ไม่คืนสัญญาให้จำเลยสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 56,700 บาทพร้อมดอกเบี้ยส่วนคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ว่าสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ. 2 ได้ปิดอากรแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่เห็นว่า ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์แห่งประมวลรัษฎากรข้อ 17ระบุว่า การค้ำประกันสำหรับจำนวนเงินเกิน 10,000 บาท ขึ้นไปจะต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท แต่สัญญาค้ำประกันเอกสาร จ.2ที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีปรากฎว่าปิดอากรแสตมป์มาเพียง 1 บาท ฉะนั้นสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ไม่ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีอัตราอากรแสตมป์แห่งประมวลรัษฎากร จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ในกรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ไม่มีหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 2 มาเป็นหลักฐาน จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง ที่โจทก์อ้างว่าสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันทำรวมมาในฉบับเดียว สัญญาค้ำประกันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ ถือได้ว่าเป็นสัญญาต่อท้ายสัญญากู้เงินและเป็นสัญญาฉบับเดียวกัน การที่โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้เงินเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ และเกินกว่าจำนวนที่ให้ปิดในสัญญาค้ำประกัน จึงอนุโลมให้ถือว่าเป็นการปิดอากรแสตมป์ในสัญญาค้ำประกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 108 กำหนดว่า ถ้าทำตราสารหลายลักษณะตามที่ระบุในบัญชีอัตราอากรแสตมป์บนกระดาษแผ่นเดียวกันหรือเป็นฉบับเดียวกัน ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ให้ครบทุกลักษณะหรือทุกเรื่อง โดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ให้ครบทุกลักษณะหรือทุกเรื่องโดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ให้ครบทุกลักษณะหรือทุกเรื่อง โดยปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นรายตราสารแยกไว้ให้ปรากฎวาตราสารใดอยู่ที่ใดและแสตมป์ดวงใดสำหรับตราสารลักษณะหรือเรื่องใด แต่โจทก์หาได้กระทำตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นไม่ จึงไม่อาจถือได้ว่าการที่โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นการปิดอากรแสตมป์ในสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ด้วย”
พิพากษายืน

Share