แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันคู่ความในคดีนี้หรือไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้และยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ โดยกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นกรณีปรากฏเหตุที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้โดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา
คดีก่อนโจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดที่ 384 ศาลฎีกาพิพากษาคดีดังกล่าวว่านายชิตขายที่ดินให้โจทก์เฉพาะตามโฉนด ไม่ได้ขายที่พิพาทอันเป็นที่งอกให้แก่โจทก์ด้วย การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าเพิ่งทราบว่านายชิตมอบที่ดินให้ไม่ครบตามโฉนดจึงขอให้จำเลยสั่งมอบที่ดินให้ครบตามโฉนด แต่ในเนื้อหาของคำฟ้องยังบรรยายว่าหากมีที่งอกริมตลิ่งหน้าที่ดินโฉนดที่ 384 ก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เมื่อนายชิตขายที่ดินนี้ให้โจทก์ก็มิได้สงวนสิทธิในที่งอกนั้นที่งอกจึงรวมอยู่ในที่ดินที่ซื้อขายด้วยขอให้บังคับจำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่งอก แผนที่สังเขปท้ายฟ้องคดีนี้กับท้ายฟ้องคดีก่อนก็เหมือนกัน แสดงว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่พิพาทอันเป็นที่งอกที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วนั้นแก่โจทก์อีกเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกให้ถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวผูกพันโจทก์จำเลย โจทก์จะกล่าวอ้างเป็นอย่างอื่นอีกดังเช่นคดีนี้หาได้ไม่
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ ๓๘๔ เนื้อที่ ๓๕ ไร่ ๓ งาน ๒๘ ตารางวา ที่ดินครึ่งหนึ่งทางทิศเหนือเป็นของโจทก์ที่ ๓ ครึ่งหนึ่งทางทิศใต้เป็นของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ซื้อมาจากนายชิต พ.ศ. ๒๕๑๒ นายชิตเช่าที่ดินส่วนของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ เป็นภรรยานายชิต จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ เป็นบุตรนายชิต จำเลยที่ ๓ เป็นน้องนายชิต ต่อมานายชิตตาย จำเลยที่ ๑ ขอเช่าที่ดินต่อไป ต่อมาฝ่ายจำเลยไม่ชำระค่าเช่า ฝ่ายโจทก์บอกเลิกการเช่าแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ คัดค้านการที่โจทก์ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ ๓๘๔ ภายหลังรังวัดได้เนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๑ งาน ๑๒ ตารางวาขาดไป ๔ ไร่ ๒ งาน ๑๖ ตารางวา ที่ดินที่ขาดไปนี้อยู่ติดต่อที่ดินทางทิศใต้โจทก์เพิ่งทราบว่านายชิตผู้ขายที่ดินให้โจทก์มอบที่ดินให้โจทก์ไม่ครบ จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากมีที่งอกย่อมตกเป็นของโจทก์ทั้งสาม ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ในฐานะทายาทนายชิตส่งมอบที่ดินโฉนดที่ ๓๘๔ ให้ครบถ้วนตามจำนวนเนื้อที่ที่ซื้อขายกัน หากมีที่งอกย่อมตกเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสามเคยฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๙/๒๕๑๙ ศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ โจทก์จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว คดีโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ก่อนสืบพยานจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔ ว่าคดีขาดอายุความ โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๙/๒๕๑๙ และ ๗๕๔/๒๕๒๓ ของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๙/๒๕๑๙ ผูกพันโจทก์ทั้งสาม ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีในประเด็นที่ไม่เป็นฟ้องซ้ำคือประเด็นที่ว่านายชิตขายที่ดินให้โจทก์แต่โจทก์ได้ที่ดินไม่ครบ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๙/๒๕๑๙ ผูกพันโจทก์จำเลยหรือไม่เสียก่อน ในปัญหาข้อนี้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ให้การต่อสู้คดีไว้ และยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์โดยกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ เป็นกรณีปรากฏเหตุที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๓(๑) แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิพากษาใหม่ ในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๙/๒๕๑๙ โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะที่งอกริมตลิ่งซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่ดินโฉนดที่ ๓๘๔ เท่านั้น และศาลฎีกาพิพากษาคดีดังกล่าวนายชิตขายที่ดินให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เฉพาะตามโฉนด นายชิตไม่ได้ขายที่พิพาทอันเป็นที่งอกให้แก่โจทก์ด้วย การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้ในคำฟ้องคดีนี้จะอ้างว่าโจทก์เพิ่งทราบว่านายชิตมอบที่ดินให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ครบตามเนื้อที่ในโฉนด จึงให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบที่ดินให้ครบตามโฉนดก็ตาม แต่ในเนื้อหาของคำฟ้องโจทก์ยังบรรยายว่านายชิตและจำเลยทั้งสี่ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท จำเลยจะอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่งอก หากมีที่งอกริมตลิ่งหน้าที่ดินโฉนดที่ ๓๘๔ ก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสาม เมื่อนายชิตขายที่ดินโฉนดที่ ๓๘๔ แก่โจทก์ก็มิได้สงวนสิทธิในที่งอกนั้น ที่งอกจึงรวมอยู่ในที่ดินซื้อขายด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่รื้อบ้านเรือนออกจากที่งอก ที่ดินที่ขาดไป ๔ ไร่ ๒ งาน ๑๖ ตารางวา อยู่ติดต่อที่ดินทางทิศใต้ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องทั้งแผนที่สังเขปท้ายฟ้องคดีนี้กับท้ายฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ ๓๑๙/๒๕๑๙ ก็เหมือนกัน ปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ทางด้านทิศใต้เช่นเดียวกัน และรูปร่างที่พิพาทก็เป็นอย่างเดียวกัน แสดงว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้บังคับให้จำเลยส่งมอบที่พิพาทอันเป็นที่งอกที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วนั้นแก่โจทก์อีกเช่นนี้เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก ให้ถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวผูกพันโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ดังนั้นโจทก์ทั้งสามจะกล่าวอ้างเป็นอย่างอื่นอีกดังเช่นคดีนี้หาได้ไม่ ปัญหาข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น