คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินและพัสดุทั่วไป การเบิกเงินทุกประเภท โดยมีหน้าที่ตรวจฎีกาหลักฐานใบสำคัญเบิกจ่าย ทำทะเบียนบัญชีงบเดือน รักษาเอกสารการรับจ่ายเงินจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังเอาเงินที่รับไว้ไปเป็นประโยชน์ของตนเสีย เมื่อโจทก์ไม่ระบุว่าจำเลยมีหน้าที่รับเงินด้วยต้องถือว่าการที่จำเลยรับเงินเป็นการนอกเหนือหน้าที่ จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์บรรยายฟ้องความว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินและพัสดุทั่วไป การเบิกเงินทุกประเภท โดยมีหน้าที่ตรวจฎีกาหลักฐานใบสำคัญเบิกจ่ายทำทะเบียนบัญชีงบเดือน รักษาเอกสารการรับจ่ายเงิน จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตคือ รับเงินค่าเช่าบ้านพักซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนเช่าจากวัดม่วยต่อไปจากเสมียนตราจังหวัดรวม 8 ครั้ง ตามวันที่ระบุในฟ้องรวมเป็นเงิน 8,400 บาท ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบให้ศึกษาธิการจังหวัดเพื่อเก็บรักษาแทนวัดม่วยต่อ ระหว่างวันเวลาที่ระบุในฟ้องจำเลยได้เบียดบังเอาเงินนี้เป็นประโยชน์ของจำเลยเสียเอง เหตุเกิดที่ตำบลจองคำ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 352

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามมาตรา 157ไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยมีหน้าที่รับเงินด้วยจึงให้แก่คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำเลยผิดตามมาตรา 352 เท่านั้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ฟ้องจะบรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่เกี่ยวแก่การเงินและพัสดุทั่วไป การเบิกเงินทุกประเภท แต่ก็ยังบรรยายรายละเอียดของหน้าที่ไว้ด้วยว่ามีหน้าที่ในการตรวจฎีกา หลักฐานใบสำคัญเบิกจ่าย ทำทะเบียนบัญชีงบเดือน เก็บเอกสารการรับจ่ายเงินโดยไม่ได้ระบุเลยว่าจำเลยมีหน้าที่รับเงิน ส่วนข้อที่บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินที่ได้รับจากเสมียนตราให้ศึกษาธิการจังหวัดก็มิได้หมายความว่าจำเลยมีหน้าที่รับเงินดังกล่าว จึงถือได้ว่าจำเลยได้รับเงินไว้นอกเหนือหน้าที่

พิพากษายืน

Share