คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3353/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยยอมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ ก็เนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมโดยอาศัยฐานะที่โจทก์เป็นลูกจ้างและจำเลยเป็นนายจ้าง เงินค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับจากจำเลยจึงเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) ซึ่งกำหนดให้เป็นเงินได้พึงประเมิน หาใช่เป็นค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิด ตามมาตรา42(13) ไม่ จำเลยซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจึงมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างค้างชำระ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายเนื่องจากเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจากจำเลย ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า ค่าจ้างค้างชำระ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยตามฟ้องโจทก์ได้รับชำระจากจำเลยแล้ว คดีคงมีประเด็นเฉพาะค่าเสียหายเนื่องจากเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมโดยจำเลยยอมจ่ายเงินให้โจทก์ 85,440 บาท และจำเลยได้นำเงินมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปเป็นเงิน 77,180.48 บาท โดยหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เป็นเงิน8,259.52 บาท พร้อมกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรต่อศาลเพื่อให้โจทก์รับไป
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม ไม่ได้มีลักษณะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยงหรือประโยชน์ใด ๆ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 แต่เป็นค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องและที่ศาลกำหนดขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร จำเลยไม่มีหน้าที่หักภาษีของโจทก์ไว้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยชำระเงินจำนวน 8,259.52 บาทที่ยังขาดแก่โจทก์
ศาลแรงงานกลางเห็นว่า จำนวนเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงเป็นค่าเสียหายเนื่องจากสัญญาจ้างแรงงาน มิใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(13) แต่เป็นเงินได้พึงประเมินที่สามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ การที่จำเลยหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จำนวน8,259.52 บาทจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยยอมจ่ายเงินจำนวน 85,440 บาทแก่โจทก์ ก็เนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โดยอาศัยฐานะที่โจทก์เป็นลูกจ้าง และจำเลยเป็นนายจ้าง เงินค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับจากจำเลยจึงเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) ซึ่งกำหนดให้เป็นเงินได้พึงประเมิน หาใช่เป็นค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดตามมาตรา42(13) ไม่ จำเลยซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจึงมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าภาษีที่หักไว้จำนวน 8,259.52 บาท คืนที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์มานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share