คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3326/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จ่ายเงินทดรองค่าใช้จ่ายของบริษัทไม่ใช่กู้ยืมเงิน ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อเป็นหนี้กันจริงก็ไม่เป็นการสมยอม ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ขอรับชำระหนี้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เชื่อว่าผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองได้ทดรองจ่ายค่าใช้จ่ายของบริษัทจำเลย โดยบริษัทจำเลยยังมิได้ชำระคืนตามจำนวนที่ผู้ขอรับชำระหนี้ฟ้องเรียกในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5402/2515 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่ได้ความว่าเมื่อผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยตามคดีดังกล่าวนายชุมพลในฐานะกรรมการผู้จัดการได้แต่งตั้งทนายความให้บริษัทยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ ต่อมาผู้ถือหุ้นคนอื่นได้ประชุมวิสามัญมีมติให้นายชุมพลพ้นจากกรรมการผู้จัดการ และแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ แล้วกรรมการชุดใหม่ได้แต่งตั้งทนายความบริษัทจำเลยเข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้แก่ผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองนั้น เมื่อบริษัทจำเลยเป็นหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จริง การกระทำเพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ก็ไม่อาจถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความได้ทำขึ้นโดยมีมูลหนี้ หาใช่เป็นการสมยอมไม่ทั้งการที่ผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองทดรองจ่ายค่าใช้จ่ายของบริษัทจำเลยไปนั้นไม่ใช่การกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ดังที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก้ฎีกา แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อบริษัทจำเลยเป็นสำคัญ ก็มิใช่หนี้ที่จะฟ้องร้องบังคับมิได้ ผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองจึงนำหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองเสีย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองฟังขึ้น

พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสองได้รับชำระหนี้เป็นเงิน726,975 บาท 65 สตางค์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หักจากกองทรัพย์สินของจำเลยใช้แก่ผู้ขอรับชำระหนี้ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาท”

Share