แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายฟ้องจำเลยในคดีความผิดต่อส่วนตัว ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยซึ่งจำเลยชำระค่าปรับแล้ว แต่จำเลยฎีการะหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ขอถอนฟ้องศาลฎีกาอนุญาตต่อมาจำเลยขอคืนค่าปรับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนค่าปรับพนักงานอัยการซึ่งมิได้เป็นคู่ความไม่มีสิทธิฎีกา เนื่องจากกรณี ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 ที่จะให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีนี้ได้ ปัญหา ดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามเช็คฉบับแรกจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ปรับจำเลยที่ 2 จำนวน60,000 บาท ความผิดตามเช็คฉบับหลัง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือน ปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 20,000 บาท รวมจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 8 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 80,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 จำเลยที่ 2 ได้ชำระค่าปรับและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอคืนค่าปรับที่จำเลยที่ 2 ได้ชำระไว้ต่อศาล โดยอ้างว่าศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้ว คดีเป็นอันเลิกกันจำเลยที่ 2 จึงพ้นผิดไม่ต้องชำระค่าปรับ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำเช่นนี้ได้จึงไม่อนุญาตให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้คืนค่าปรับจำนวน 80,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1
พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คต่อมาโจทก์ถอนฟ้องและจำเลยขอคืนค่าปรับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอคืนค่าปรับของจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้คืนค่าปรับเช่นนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องผู้เสียหายใช้อำนาจฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 โดยพนักงานอัยการมิได้เป็นคู่ความในคดีด้วย ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 ที่จะให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีนี้ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ดังนั้น พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีจึงไม่สามารถเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้และไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี