แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางจำเป็นหาจำต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงไม่ความมุ่งหมายที่สำคัญคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่นั้นมีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ถ้าโจทก์ผ่านทางพิพาทได้ โจทก์ก็สามารถใช้รถยนต์ไปตามทางจนในที่สุดไปถึงทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 51 เป็นกรรมสิทธิ์ของนายผ่องต่อมานายผ่องได้แบ่งแยกออกเป็นที่ดินแปลงย่อย โดยทำทางเข้าออกให้แก่ที่ดินที่แบ่งแยกทุกแปลงที่ดินที่แบ่งแยกโฉนดที่ 24443 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 5 โดยจำเลยที่ 4 ได้รับมรดกจากนายผ่อง ที่ดินที่แบ่งแยกโฉนดที่ 24445 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งซื้อจากนายผ่องแล้วให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ครอบครองทำประโยชน์ ที่ดินที่แบ่งแยกโฉนดที่ 24444 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยโจทก์ซื้อมาจากนายโกศลซึ่งซื้อมาจากนายทองหล่อผู้ได้รับยกให้จากนายผ่อง ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ทางทิศตะวันออก ที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1 ด้านทิศเหนืออยู่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 4 ต่อมาโจทก์ได้ไปดูที่ดินปรากฏว่าไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขุดทางเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ทำบ่อเลี้ยงปลาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แจ้งว่าได้ทำทางให้โจทก์ใหม่ในที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 กับที่ 4 รวมกันกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ 50 เมตร ให้โจทก์จัดหาวัสดุมาถมเอาเองโจทก์ได้ถมทางใหม่และใช้เข้าออกไปยังทางเข้าออกของที่ดินที่แบ่งแยกผ่านไปสู่ทางสาธารณะทางด้านทิศเหนือและใช้เข้าออกตลอดมา โจทก์ได้เสียค่าตอบแทนการใช้ทาง 3,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และนำต้นผลไม้ต่าง ๆ เข้าไปปลูกต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ปิดกั้นและปลูกพืชลงบนทาง ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าเปิดทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยขุดถอนพืชในทางออกให้หมด ให้ร่วมกันใช้ค่าต้นไม้ของโจทก์ที่ตายเป็นเงิน 5,800 บาท ค่าปรับทาง10,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การร่วมกันว่า ที่ดินของโจทก์สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องเดินผ่านที่ดินของจำเลย ที่ดินของจำเลยไม่ได้อยู่ติดทางสาธารณะ ไม่ตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์ โจทก์นำรถซึ่งมีน้ำหนักมากมาวิ่งบนคันบ่อเลี้ยงปลาเป็นเหตุให้คันบ่อชำรุด ทั้งยังทำถังน้ำมันตกลงในบ่อเป็นเหตุให้ปลาตายจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงห้ามไม่ให้โจทก์นำรถมาวิ่งเพื่อป้องกันความเสียหาย หากโจทก์จำเป็นต้องใช้ทางเข้าออกก็ควรใช้เฉพาะเป็นทางสำหรับคนเดินกว้างประมาณ 1 เมตรเท่านั้น ต้นไม้โจทก์ที่ปลูกไว้ตายไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ว่าจะต้องปรับทางใหม่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเข้ามาจำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เว้นแต่เรื่องเงินจำนวน 3,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าเสียหายที่โจทก์นำรถบรรทุกมาวิ่งบนคันบ่อเลี้ยงปลาทำให้บ่อเลี้ยงปลาและต้นไม้เสียหาย ไม่ใช่เงินทดแทนการใช้ทาง และว่าจำเลยที่ 5ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยที่ 1และที่ 4 กว้างคนละหนึ่งเมตรครึ่ง โดยไม่ตัดสิทธิจำเลยที่ 1 และที่ 4 ที่จะว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนกับโจทก์ต่อไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่นาโฉนดที่ 51 เดิมเป็นของนายผ่อง ต่อมานายผ่องได้ขอออกโฉนดเป็นแปลงย่อยหลายแปลงเพื่อแบ่งให้ทายาทมีการกันแนวเขตไว้เป็นทางเข้าออกสำหรับที่ดินที่แบ่งแยกกว้าง 6 เมตร ยาวจากถนนทางเข้าวัดพระร่วงถึงคลองรางบัวมล โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 24444 ซึ่งนายผ่องยกให้แก่นายทองหล่อบุตรชาย นายทองหล่อขายให้นายโกศล นายโกศลขายให้โจทก์ ที่ของโจทก์ถูกปิดล้อมโดยที่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งแบ่งแยกออกมาจากโฉนดที่ 51 เช่นเดียวกัน ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะนอกจากต้องผ่านทางพิพาทออกทางที่นายผ่องกันไว้เป็นถนนแล้วออกทางเข้าวัดพระร่วงไปสู่ถนนสุขาภิบาลอันเป็นทางสาธารณะ จำเลยเคยยอมให้โจทก์ถมทางพิพาทแล้วขนดินเข้าไปถมที่ โจทก์เคยใช้รถยนต์แล่นไปจนถึงที่ของโจทก์ได้ต่อมาจำเลยปิดกั้นทางพิพาทไม่ให้โจทก์ใช้รถยนต์ผ่านเข้าไปยังที่ของโจทก์ คงยอมให้เพียงเดินเข้าไปเท่านั้น แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคแรกบัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดมีที่ดินอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ เห็นได้ว่ากฎหมายมิได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายที่สำคัญคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่นั้นมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้นกรณีแห่งคดีนี้ได้ความว่า ถ้าโจทก์ผ่านทางพิพาทได้โจทก์ก็สามารถใช้รถยนต์ไปตามทางจนในที่สุดไปถึงทางสาธารณะได้เช่นนี้ ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และแม้จะฟังว่าทางเข้าวัดพระร่วงมิใช่ทางสาธารณะแต่ก็เป็นทางที่โจทก์ใช้ไปถึงถนนสุขาภิบาลอันเป็นทางสาธารณะได้ไม่มีเหตุผลที่จะวินิจฉัยว่าเมื่อทางที่โจทก์จำเป็นต้องผ่านไม่ติดทางสาธารณะก็ถือไม่ได้ว่าเป็นทางจำเป็น เพราะถ้าถือเช่นนั้นแล้วบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่คุ้มครองเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ก็ไร้ผลฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน