คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อในคำพิพากษาคดีอาญาซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลย ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับพลอยจากโจทก์ไปขายให้ผู้มีชื่อ ผู้มีชื่อชำระเงินค่าพลอยให้มาเป็นเช็ค จำเลยก็นำเช็คทั้งหมดมอบให้โจทก์ ดังนี้ในคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าพลอยจากจำเลย โจทก์จะเถียงข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับเช็คค่าพลอยไว้จากจำเลยยังไม่ครบถ้วนหาได้ไม่
จำเลยเป็นตัวแทนนำพลอยของโจทก์ไปขายผู้ซื้อชำระค่าพลอยให้มาเป็นเช็คลงวันสั่งจ่ายล่วงหน้า จำเลยก็นำเช็คทั้งหมดมามอบให้โจทก์ เช็คบางฉบับก่อนจะถึงกำหนดวันสั่งจ่าย ผู้ซื้อยังไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ขอให้จำเลยไปติดต่อกับโจทก์ขอเปลี่ยนเช็คใหม่โดยขยายเวลาออกไปอีก โจทก์ก็ยอม เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ ได้ใช้ให้จำเลยไปดูพลอยที่ขายในร้านผู้ซื้อเพื่อจะเอาคืนมา จำเลยก็ไปดูให้ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งของในร้านผู้ซื้อเหลืออยู่ จำเลยก็กลับมาแจ้งให้โจทก์ทราบ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเรื่องโจทก์จะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่ายเช็ค

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับพลอยสีจากโจทก์รวมราคา 77,645 บาทเพื่อจำหน่ายโดยคิดค่านายหน้าร้อยละ 10 จำเลยขายหมดแล้วไม่นำเงินมาชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าพลอยพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นนายหน้าติดต่อให้โจทก์ขายพลอยผู้ซื้อชำระราคาให้โจทก์ครบถ้วนเป็นเช็ค โจทก์รับเงินตามเช็คไม่ได้ กลับกล่าวเท็จสร้างเรื่องฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ศาลยกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเช็คค่าพลอยที่จำเลยรับมาขึ้นเงินไม่ได้ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน แต่เช็คจำนวน19,320 บาท ได้โอนเข้าบัญชีนางสาวเยาวภา ประดิษฐ์บาทุกา โดยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 58,325 บาทพร้อมดอกเบี้ย

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในมูลกรณีเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญากล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเงินค่าขายพลอยของโจทก์ ดังปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7008/2510 ของศาลแขวงพระนครใต้ ในคดีนั้นศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามสำนวนคดีอาญาดังกล่าว ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับพลอยสีชนิดต่าง ๆ จากโจทก์ไปขายให้นายประเสริฐ นายประเสริฐชำระเงินค่าพลอยให้มาเป็นเช็ค จำเลยก็นำเช็คทั้งหมดมามอบให้โจทก์ โจทก์เองเบิกความว่าจำเลยขายพลอยได้เงินหรือไม่ ไม่ทราบ ที่ว่าจำเลยเบียดบังเอาเงินไปนั้น โจทก์เข้าใจเอาเองพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้บ่งชี้ว่าจำเลยได้รับเงินแล้วเอาไปเป็นของตนโดยทุจริต ดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยเป็นตัวแทนโจทก์ในการขายพลอย ที่โจทก์ฎีกามาว่าโจทก์รับเช็คไว้จากจำเลยเพียง 2 ฉบับ จำเลยรู้อยู่แล้วว่านายประเสริฐเคยออกเช็คไม่มีเงินยังขืนรับเช็คของนายประเสริฐไว้ ส่อเจตนาไม่สุจริต โดยจำเลยสมคบกับนายประเสริฐฉ้อโกงโจทก์ ถือว่าจำเลยยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนครบถ้วนจึงต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งฟังเป็นยุติแล้วว่าโจทก์ได้รับเช็คค่าพลอยไว้ครบถ้วนแล้ว

ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า เมื่อเช็คที่จำเลยนำมามอบให้โจทก์ผู้สลักหลังเช็คที่โจทก์รู้จักหรือเชื่อถือได้ก็ไม่มี โจทก์ก็ไม่ได้ให้จำเลยสลักหลังไว้ให้ แต่ยอมรับเช็คนั้นไว้ ดูเป็นการผิดปกติวิสัย โจทก์มิได้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา แทนที่โจทก์จะเรียกร้องเอาเงินตามเช็คจากผู้สั่งจ่าย ก็เปลี่ยนรูปคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานยักยอกเงินค่าขายพลอยตามสำนวนคดีอาญาของศาลแขวงพระนครใต้ พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ น่าเชื่อว่าโจทก์ยอมให้ผู้ออกเช็คเปลี่ยนเช็คให้โจทก์ใหม่ และได้ใช้ให้จำเลยสืบสวนดูฐานะของผู้ออกเช็คให้โจทก์จริง ถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์เบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่าย จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก

พิพากษายืน

Share