คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3235/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามบัญญัติให้การกระทำความผิดระหว่างฐานลักทรัพย์และรับของโจรมิให้ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญแต่เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดเท่านั้น และไม่ให้ถือว่าเป็นกรณีเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษด้วย เว้นแต่จะหลงต่อสู้ เมื่อคดีนี้แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ แต่จำเลยให้การและนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลางจึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยหลงต่อสู้อันจะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าว ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณานั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 336 ทวิ, 83, 33 กับให้ริบของกลางและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 168,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง, 83 จำคุกคนละ 3 ปีจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 2 ปี ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ฐานร่วมกันลักทรัพย์แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจรอันเป็นกรณีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง จะลงโทษไม่ได้เพราะเป็นข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และจะพิพากษาเกินคำขอไม่ได้นั้นเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามบัญญัติให้การกระทำความผิดระหว่างฐานลักทรัพย์และรับของโจทก์มิให้ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญแต่เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดเท่านั้นและไม่ให้ถือว่าเป็นกรณีเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษด้วยเว้นแต่จำเลยจะหลงต่อสู้ เมื่อคดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การและนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลางแต่อย่างใดจึงมิใช่เป็นเรื่องหลงต่อสู้อันจะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าว ศาลจึงรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรได้
พิพากษายืน

Share