คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ใบยืมของชั่วคราวปรากฏว่ามีข้อความสาระสำคัญเพียงว่าเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2528 จำเลยยืมเงินไป 40,000 บาท และมีลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้รับของเท่านั้น เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมิใช่สัญญากู้ยืม จึงไม่ตกอยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ ดังนั้น ศาลจึงรับฟังใบยืมของชั่วคราวเป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้ไม่ขัดต่อ ป.รัษฎากรมาตรา 118 และปัญหานี้แม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ เมื่อหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล ได้มอบอำนาจให้ด. เป็นตัวแทนมีอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีอาญา คดีแพ่ง และหรือคดีล้มละลาย ด. จึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 60 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายดามพ์ทวีป จันทร์สมบูรณ์ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2528 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 40,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ จำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย11,500 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 51,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เนื่องจากนายณัฐชัย ปทุมรังสรรค์ ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ นายดามพ์ทวีปไม่มีอำนาจแต่งตั้งนายณัฐชัยเป็นทนายเรียงและลงชื่อในฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2529จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีดังนี้
ประการแรก โจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในใบยืมของชั่วคราว ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามเอกสารหมาย จ.2 ตามประมวลรัษฎากร จึงต้องห้ามมิให้รับฟังพยานเอกสารดังกล่าว เห็นว่าปัญหานี้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาได้ตรวจใบยืมของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.2 แล้วปรากฏว่ามีข้อความสาระสำคัญเพียงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2528 จำเลยยืมเงินไป 40,000 บาท และมีลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้รับของเท่านั้น เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมิใช่สัญญากู้ยืม จึงไม่ตกอยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ ดังนั้นศาลจึงรับฟังใบยืมของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.2 เป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้ไม่ขัดต่อประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ประการที่ 2 โจทก์มิได้มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงินการที่โจทก์ให้กู้ยืมเงินจึงเป็นการกระทำนอกวัตถุประสงค์ เห็นว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ประการที่ 3 หนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.11 มิได้ระบุให้อำนาจนายดามพ์ทวีปแต่งตั้งทนายความได้แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า มีอำนาจแต่งตั้งทนายความได้จึงไม่ชอบ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 บัญญัติว่า”คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คู่ความเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือผู้แทนในกรณีที่คู่ความเป็นนิติบุคคลจะว่าความด้วยตนเองและดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์ของตน หรือจะตั้งแต่งทนายความคนเดียวหรือหลายคนให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได้
ถ้าคู่ความหรือผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนดั่งที่ได้กล่าวมาแล้วทำหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลใดเป็นผู้แทนตนในคดี ผู้รับมอบอำนาจเช่นว่านั้นจะว่าความอย่างทนายความไม่ได้ แต่ย่อมตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้” เมื่อหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.11ข้อ (2) ได้มอบอำนาจให้นายดามพ์ทวีปเป็นตัวแทนมีอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีอาญาคดีแพ่งและหรือคดีล้มละลายนายดามพ์ทวีปจึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60วรรคสอง ดังกล่าว…”
พิพากษายืน.

Share