คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3201/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น การประชุมหารือร่วมกันและตกลงกันว่าจะกระทำความผิดอะไร เป็นข้อสาระสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจรหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 210, 91และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธข้อหาซ่องโจร

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามฟ้อง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ข้อหาซ่องโจร

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะความผิดในข้อหาซ่องโจร

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 มาตรา 211 และมาตรา 212 แสดงให้เห็นสาระสำคัญของความผิดฐานเป็นซ่องโจรว่าจะต้องมีบุคคลตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปได้คบคิดประชุมหารือร่วมกันและตกลงกันที่จะกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป เมื่อได้ประชุมตกลงกันดังกล่าวแล้ว แม้จะยังมิได้ไปกระทำความผิดตามที่ตกลงไว้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมก็มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรแล้ว หากมีผู้ที่เข้าร่วมประชุมคนใดคนหนึ่งไปกระทำความผิดตามที่ตกลงกันไว้ ก็เป็นความผิดขึ้นอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมประชุมแม้จะไม่ได้ไปร่วมกระทำผิด ก็ต้องมีความผิดด้วยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 213 แต่ถ้าประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ไม่เป็นที่ตกลงกันว่าจะกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้ที่เข้าร่วมประชุมก็หามีความผิดฐานเป็นซ่องโจรไม่ จึงเป็นที่เห็นได้ว่า การประชุมหรือร่วมกันและตกลงกันว่าจะกระทำความผิดอะไร เป็นข้อสาระสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่า มีการกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจรหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบปรากฏตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจวัฒนา พันธ์หงษ์ แต่เพียงว่ามีกลุ่มคนร้ายวัยรุ่นจะเข้ามาชิงหรือปล้นทรัพย์รถจักรยานยนต์ในเขตเทศบาลเมืองกำแพงเพชรเท่านั้น โจทก์ไม่มีพยานยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามกับพวกได้คบคิดร่วมกันประชุมปรึกษาหารือกันที่ไหน เมื่อใด และได้ตกลงกันจะกระทำความผิดอย่างใดหรือไม่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงไม่มีน้ำหนักให้ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกับพวกกระทำการเป็นซ่องโจรแต่อย่างใด จึงลงโทษจำเลยทั้งสามฐานนี้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share