แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเช็คโกสโลวาเกีย มี ฟ.เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจลงนามแทนโจทก์ ฟ.ได้มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ซึ่งหนังสือมอบอำนาจได้มีการรับรองความถูกต้องและแท้จริงกันมาเป็นทอด ๆ โดยมีโนตารีแห่งรัฐรับรองการมอบอำนาจของ ฟ. และกระทรวงยุติธรรมแห่งกรุงปร้ากรับรองลายมือชื่อและตราราชการของโนตารีแห่งรัฐ กระทรวงการต่างประเทศของเช็คโกสโลวาเกียรับรองลายมือชื่อและตราราชการของกระทรวงยุติธรรมและสถาน เอกอัครราชฑูตแห่งสหรัฐอเมริกาประจำกรุงปร้ากรับรองลายมือชื่อและตราราชการของกระทรวงการต่างประเทศ ของเช็คโกสโลวาเกีย ดังนี้ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงมีผลใช้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47 ไม่มีเหตุที่ศาลควรสงสัยว่าจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริง อ.ผู้รับมอบอำนาจจึงฟ้องคดีแทนโจทก์ได้
เครื่องยนต์ยี่ห้อ SLAVIA (สะลาเวีย) ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ในรายการสินค้าจำพวก 6 และจำพวก 7 นั้น เดิมผู้ผลิตในประเทศเช็คโกสโลวาเกียได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ในประเทศเช็คโกสโลวาเกียตั้งแต่ พ.ศ.2465 ใน พ.ศ.2491 ผู้ผลิตได้โอนเครื่องหมายการค้านี้ให้แก่บริษัทสะลาเวีย มอเตอร์เวอร์ค ต่อมา พ.ศ.2501 บริษัทสะลาเวียฯ ได้โอนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์อีกทอดหนึ่งเครื่องหมายการค้านี้ได้มีการต่ออายุมาทุกสิบปี ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศเช็คโกสโลวาเกียและในประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศ และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสากลด้วย เครื่องยนต์ยี่ห้อ SLAVIA (สะลาเวีย) ได้มีจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2478 และโจทก์ได้ตั้งให้จำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องยนต์สะลาเวียของโจทก์ ต่อมาจำเลยเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่มีอยู่ก่อนนานแล้วไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นของตนเองดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่พิพาทดีกว่าจำเลย
โจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาทไว้ในประเทศไทย จึงยังไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แม้จำเลยนำเอาเครื่องหมายการค้ารายพิพาทมาจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของตนอันเป็นการขัดต่อ ประโยชน์ในทางการค้าของโจทก์ ก็ยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่โจทก์ก็อาจใช้สิทธิร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 41 พระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติเรื่องอายุความเพื่อการนี้ไว้ จึงต้องนำบทบัญญัติทั่วไปอันว่าด้วยอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งให้เริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 เมื่อสิทธิของโจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องให้เพิกถอนทะเบียน ตราบใดที่ยังไม่มีทะเบียน โจทก์ก็ไม่อาจจะใช้สิทธิเรียกร้องให้เพิกถอนได้อายุความในกรณีนี้จึงต้องเริ่มนับแต่เมื่อเครื่องหมายการค้าของ จำเลยมีผลสมบูรณ์เป็นทะเบียน คือนับแต่วันจดทะเบียนเป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันจดทะเบียน คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศเช็คโกสโลวาเกีย มีฐานะเป็นนิติบุคคลเป็นผู้ผลิตสินค้าเครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้า และส่วนต่าง ๆ ของสินค้าดังกล่าว ส่งออกไปทั่วโลกในประเทศไทยโจทก์ได้แต่งตั้งให้นางสาวอีนา เยอร์เกนเซ่น เป็นตัวแทนในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตลอดจนมีอำนาจยื่นฟ้องและดำเนินคดีทางศาลเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์
สินค้าจำพวกเครื่องจักร เครื่องยนต์ และส่วนต่าง ๆ นี้เดิมบริษัทสะลาเวียมอเตอร์ นารอดนี พอดนิค (บริษัทสะลาเวียมอเตอร์ บรรษัทแห่งชาติ) เป็นผู้ผลิตและส่งไปจำหน่ายเป็นที่รู้จักนิยมแพร่หลายทั่วโลก ในประเทศไทยก็ได้ส่งสินค้าเหล่านี้เข้ามาจำหน่ายเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีมาแล้ว และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “SLAVIA” (สะลาเวีย) ใช้กับสินค้าดังกล่าวไว้ในหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยบริษัทสะลาเวียมอเตอร์ก็เคยยื่นคำของจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “SLAVIA” (สะลาเวีย) นี้ต่อกองเครื่องหมายการค้า ในสินค้าจำพวก ๖ ตามคำขอเลขที่ ๒๖๙๗๒ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๙๙ และต่อมาเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๐๕ ก็ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกันนี้ในสินค้าจำพวก ๗ อีกจำพวกหนึ่ง ปรากฏตามคำขอเลขที่ ๔๔๕๘๑ นอกจากนี้บริษัทดังกล่าวได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ไว้ในประเทศเช็คโกสโลวาเกียและประเทศอื่น ๆ แทบทั่วโลก ในปี ๒๕๐๑ บริษัทสะลาเวียมอเตอร์ได้โอนกิจการผลิตสินค้าดังกล่าว ตลอดจนเครื่องหมายการค้า “SLAVIA” (สะลาเวีย) นี้ให้โจทก์ โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้านี้กับสินค้าของโจทก์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยตลอดมาจนทุกวันนี้
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๐๖ โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “SLAVIA” (สะลาเวีย) นี้ต่อกองเครื่องหมายการค้าในสินค้าจำพวก ๖ และ ๗ ตามคำขอเลขที่ ๔๗๑๙๔ และ ๔๗๑๙๕ ความจึงปรากฏแก่โจทก์ว่าในเดือนธันวาคม ๒๔๙๕ จำเลยนี้ในฐานะส่วนตัวได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งมีคำว่า “SLAVIA” (สะลาเวีย) ประกอบอยู่ด้วยต่อกองเครื่องหมายการค้า สำหรับสินค้าจำพวก ๖ รวมอยู่ด้วย ๒ คำขอ คือคำขอเลขที่ ๑๙๖๕๒ และ ๑๙๖๙๐ และในเดือนเดียวกันนั้นจำเลยก็ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกันกับที่ได้ยื่นไว้แล้วในสินค้าจำพวก ๗ คือตามคำขอเลขที่ ๑๙๖๕๔ และ ๑๙๖๙๑ และนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้รับจดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยในปี ๒๔๙๗ นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าจึงไม่อาจพิจารณารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ยื่นคำขอจดให้ได้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้ง ๔ คำขอซึ่งนายทะเบียนรับจดทะเบียนไว้แล้วในปี ๒๔๙๗ เป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์นั่นเอง จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตนำไปขอจดทะเบียนไว้ในนามของจำเลยเองเพราะในเวลาที่จำเลยขอจดทะเบียนนั้น จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียอยู่กับร้านค้าซึ่งเป็นผู้สั่งสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้าในขณะนั้นเข้ามาจำหน่ายใน ประเทศไทย
โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยถอนคำขอของจำเลยแล้ว จำเลยไม่ยินยอมจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าของจำเลยตามคำขอจดทะเบียนเลขที่ ๑๙๖๕๒ และ ๑๙๖๙๐ ในสินค้าจำพวก ๖ และตามคำขอจดทะเบียนเลขที่ ๑๙๖๕๔ และ ๑๙๖๙๑ จำพวก ๗ ดีกว่าจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้ง ๔ คำขอนั้น
จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นผู้คิดประดิษฐ์สินค้าเครื่องยนต์ เครื่องอะไหล่ ตลอดจนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของสินค้าดังกล่าวออกจำหน่ายโดยจำเลยให้เครื่องหมายถึงภาพอันคิดประดิษฐ์นั้นใช้เป็นเครื่องหมายสำหรับสินค้า ดังกล่าวว่า “SLAVIA” (สะลาเวีย) ผลิตออกจำหน่ายใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าดังกล่าวมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๒ และต่อ ๆ มาจนถึงปี ๒๔๙๕ จำเลยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าจำพวก ๖ ทั้งจำพวก จำพวก ๗ ทั้งจำพวกจำเลยจึงเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแต่ผู้เดียว เพื่อใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าทั้งหมดในจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้และได้ใช้ตลอดมาจนทุกวันนี้
โจทก์ไม่ได้เคยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามฟ้อง ทั้งไม่เคยบอกกล่าวติดต่อกับจำเลยให้กระทำการตามที่กล่าวในฟ้อง
จำเลยตัดฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ฐานะโจทก์เป็นโรงงานเครื่องยนต์เป็นบรรษัท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ไม่มีอำนาจทำหนังสือมอบอำนาจฉบับสำเนาท้ายฟ้อง เพราะนายแฟรนดิเช็คสเต็คร์ทผู้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นวิศวกรของโรงงานเครื่องยนต์เช็คโกสโลวาเกียที่ปราฮา บรรษัทแห่งชาติ มิใช่บริษัท หนังสือมอบอำนาจฉบับสำเนาท้ายฟ้องทำในต่างประเทศ ควรให้กงสุลไทยรับรองเมื่อไม่มีกงสุลไทยรับรองมาก็ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นบรรษัทแห่งชาติของประเทศเช็คโกสโลวาเกียเป็นนิติบุคคล นายแฟรนติเช็ค สเต็คร์ท เป็นกรรมการบรรษัทโจทก์มีอำนาจที่จะทำการแทนโจทก์ได้โดยสมบูรณ์ และเชื่อว่าใบมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นใบมอบอำนาจที่แท้จริง ไม่มีเหตุสงสัยกับเชื่อว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามฟ้องดีกว่าจำเลย ทั้งคดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความตามฟ้องร้องจึงพิพากษาให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามฟ้องที่จำเลยจด ทะเบียนไว้เสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และของจำเลยโดยตลอดแล้วมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกานี้ ๕ ประเด็นด้วยกัน คือ
๑. โจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่
๒. นายแฟรนติเช็คสเต็คร์ทมีอำนาจลงนามในใบมอบอำนาจให้ฟ้องโจทก์หรือไม่
๓. หนังสือมอบอำนาจให้นางสาวอีนา เยอร์เกนเช่น ฟ้องคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
๔. โจทก์มีสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าตามฟ้องดีกว่าจำเลยหรือไม่
๕. คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ตามประเด็นข้อ ๑ นั้น นางสาวอีนา เยอร์เกนเซ่น ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้เบิกความว่า คำว่า “นารอดนี ปอดนิค” เป็นภาษาเช็คโกสโลวาเกีย หมายความถึง “บรรษัทแห่งชาติ ซึ่งเป็นนิติบุคคล และตามคำเบิกความของนาย เจ.จี.เช็ค ในคดีอาญาของศาลแขวงพระนครใต้หมายเลขแดงที่ ๕๐๖๓/๒๕๐๖ ซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานในดคีนี้ ก็ปรากฏว่าสภาการค้าแห่งประเทศเช็คโกสโลวาเกียในกรุงปร้าครับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเอกเทศ ตามกฎหมายเช็คโกสโลวาเกีย (เอกสาร จ.๘) กรณีไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำผู้เชี่ยวชาญในกฎหมายของประเทศเช็คโกสโลวาเกียมาสืบในประเด็นนี้แต่ประการใด จำเลยเองก็มิได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานดังกล่าวของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล ฎีกาของจำเลยข้อนี้ตกไปขึ้น
ประเด็นข้อ ๒ นายแฟรนติเช็ค สเต็คร์ท มีอำนาจลงนามในใบมอบอำนาจให้ฟ้องแทนโจทก์หรือไม่นั้น เอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งเป็นภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งลงนามโดยนายแฟรนติเช็ค สเต็คร์ท มีคำรับรองของโนตารีแห่งรัฐว่าเป็นกรรมการบรรษัทโจทก์มีอำนาจโดยสมบูรณ์ที่จะกระทำการแทนโจทก์ทั้งในเอกสาร ล.๑๐ ก็รับรองว่า นายแฟรนติเช็ค สเต็คร์ท เป็นกรรมการผู้จัดการบรรษัทโจทก์ มีอำนาจลงนามแทนบรรษัทโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นข้อ ๓ หนังสือมอบอำนาจให้นางสาวอีนา เยอร์เกนเซ่น ฟ้องคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นได้วินิจฉัยไว้ในประเด็นข้อ ๒ แล้วว่า นายแฟรนติเช็ค สเต็คร์ท มีอำนาจทำการแทนโจทก์ได้ และได้มอบอำนาจให้นางสาวอีนา เยอร์เกนเซ่น ฟ้องคดีแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจ (เอกสาร จ.๑) ซึ่งได้มีการรับรองความถูกต้องและแท้จริงของหนังสือมอบอำนาจกันมาเป็นทอด ๆ คือมีโนตารีแห่งรัฐรับรองการมอบอำนาจของนายแฟรนติเช็ค สเต็คร์ท และกระทรวงยุติธรรมแห่งกรุงปร้ากรับรองลายมือชื่อและตราราชการของโนตารีแห่งรัฐ กระทรวงการต่างประเทศของเช็คโกสโลวาเกียรับรองลายมือชื่อและตราราชการของกระทรวงยุติธรรมและสถานเอกอัครราชฑูตแห่งสหรัฐอเมริกาประจำกรุงปร้ากรับรองลายมือชื่อและตราราชการของกระทรวงการต่างประเทศของเช็คโกสโลวาเกีย หนังสือมอบอำนาจ (เอกสาร จ.๑) จึงมีผลใช้ได้ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๗ ไม่มีเหตุที่ศาลควรสงสัยว่าหนังสือมอบอำนาจนี้จะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริงแต่ประการใดเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นดุจกัน
ประเด็นข้อ ๔ โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามฟ้องดีกว่าจำเลยหรือไม่นั้น ฝ่ายโจทก์มีพยานบุคคลหลายปากทั้งที่เป็นคนสัญชาติเช็คโกสโลวาเกียและคนสัญาชาติไทยมาสืบประกอบพยานเอกสารซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๐๖๓-๕๐๖๖/๒๕๐๖ ของศาลแขวงพระนครใต้รับฟังได้ว่า เครื่องยนต์ยี่ห้อ “SLAVIA” (สะลาเวีย) ซึ่งเป็นสินค้าที่จะต้องจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๔๗๔ ในรายการสินค้าจำพวกที่ ๖ และจำพวกที่ ๗ นั้น ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ในเช็คโกสโลวาเกียตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๕ โดยผู้ผลิตเป็นผู้จดทะเบียน และต่อมาได้มีการต่ออายุเครื่องหมายการค้าใน พ.ศ.๒๔๗๕ และใน พ.ศ.๒๒๙๑ ผู้ผลิตเครื่องยนต์ยี่ห้อ “SLAVIA” (สะลาเวีย) ได้โอนเครื่องหมายการค้านี้ให้กับบริษัทสะลาเวีย มอเตอร์เวอร์ค เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ บริษัทสะลาเวียได้โอนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์อีกทอดหนึ่ง และได้มีการต่ออายุเครื่องหมายการค้านี้มาทุก ๆ สิบปี (เอกสาร ล.๒ – ล.๕) นอกจากการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “SLAVIA” (สะลาเวีย) ในประเทศเช็คโกสโลวาเกียแล้วยังได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ในประเทศต่าง ๆ อีก ๕๔ ประเทศ และได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสากล ณ กรุงเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย (เอกสาร ล.๘)
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบรับฟังต่อไปได้อีกด้วยว่า เครื่องยนต์ยี่ห้อ “SLAVIA” (สะลาเวีย) ได้มีจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๘ แล้ว โดยบริษัทสินสยามพาณิชย์จำกัดเป็นผู้สั่งเข้ามาจำหน่าย และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ บริษัทมินเซนจำกัดเป็นผู้แทนจำหน่าย และจำเลยเองก็เคยเข้าหุ้นกับกรรมการของบริษัทมินเซนจำกัดตั้งบริษัทลึมิน จำกัด ขึ้น และโจทก์ได้ตั้งให้บริษัทลึมินจำกัดเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องยนต์ “SLAVIA” (สะลาเวีย) ต่อมาจำเลยได้ซื้อหุ้นของบริษัทลึมินจำกัดทั้งหมด และยังคงจำหน่ายเครื่องยนต์ “SLAVIA” (สะลาเวีย) อยู่ต่อไปทั้งได้มีการโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวัน “เดลิเมล์” ในปี ๒๔๙๕ บางฉบับด้วยว่า จำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องยนต์สะลาเวียของโจทก์
ตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยคิดค้นชื่อเครื่องหมายการค้า “SLAVIA” (สะลาเวีย) ขึ้นเองโดยผสมคำในภาษาจีนเข้าด้วยกัน ๓ คำ แปลความหมายได้ว่า “เครื่องแรงสูง” ก็ดี ที่จำเลยอ้างว่าตนได้ว่าจ้างบริษัทในเช็คโกสโลวาเกียผลิตเครื่องยนต์สะลาเวียตามแบบแปลนของจำเลยก็ดี เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่มีพยานหลักฐานใดสนับสนุน เมื่อได้เปรียบเทียบกับคำพยานฝ่ายโจทก์ซึ่งแสดงความเป็นมาโดยลำดับของเครื่องยนต์ “SLAVIA” (สะลาเวีย) ตลอดจนการที่โจทก์ได้ตั้งให้จำเลยเองเป็นผู้เแทนจำหน่ายเครื่องยนต์ดังกล่าว กับพยานหลักฐานของจำเลยและเปรียบเทียบแบบตัวอักษรซึ่งประดิษฐ์ขึ้นใช้กับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ กับเครื่องหมายการค้าที่จำเลยขอจดไว้แล้วย่อมเห็นได้อย่างจะแจ้งว่า จำเลยเอาเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่มีอยู่ก่อนนานแล้วไปจดทะเบียนเป็นของตนเองนั่นเอง ข้อต่อสู้ของจำเลยในเรื่องที่ว่าตนมีสิทธิดีกว่าโจทก์ในเครื่องหมายการค้านั้นฟังไม่ขึ้น ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นข้อ ๕ คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่พิพาทไว้ในประเทศไทย โจทก์จึงยังมิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ฉะนั้นแม้จำเลยจะนำเอาเครื่องหมายการค้าที่พิพาทมาจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของตนอันเป็นการขัดต่อประโยชน์ในทางการค้าของโจทก์ก็ตาม ก็ยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อย่างไรก็ดีโจทก์ก็อาจใช้สิทธิร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ ตามที่พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพุทธศักราช ๒๔๗๔ มาตรา ๔๑ เปิดช่องไว้ให้ แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวก็มิได้บัญญัติเรื่องอายุความเพื่อการนี้ไว้ จึงต้องนำบทบัญญัติทั่วไปอันว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ มาใช้บังคับอนุโลมอายุความดังกล่าวต้องเริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๙ ที่ศาลอุทธรณ์นับอายุความตั้งแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการจดทะเบียนของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สิทธิของโจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องให้เพิกถอนทะเบียนตราบใดที่ยังไม่มีทะเบียนโจทก์ก็ไม่อาจจะใช้สิทธิเรียกร้องให้เพิกถอนได้ อายุความในกรณีนี้จึงต้องเริ่มนับแต่เมื่อเครื่องหมายการค้าของจำเลยมีผลสมบูรณ์เป็นทะเบียน คือนับแต่วันจดทะเบียนเป็นต้นไป ปรากฏตามภาพถ่ายสำเนาคำขอจดทะเบียนและทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งจำเลยอ้างมาเองตามหนังสือที่ ๑๙๘๔๓/๒๕๐๖ ของกระทรวงเศรษฐการ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ว่า วันจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคือวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ และวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๙๗ มิใช่ใน พ.ศ.๒๔๙๕ ดังที่จำเลยฎีกามา นับจากวันดังกล่าวถึงวันที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้คือวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๐๖ ยังไม่เกิน ๑๐ ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน