แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การขอให้พิจารณาใหม่หากได้ความตามคำร้องก็มีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องถูกเพิกถอนไปในตัว และศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาขึ้นใหม่ ดังนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ก็เท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ผู้ร้องจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงมิชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ถือไม่ได้ว่าฎีกาของผู้ร้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฝ่ายเดียวและมีคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ผู้ร้องได้อ้างส่งสำเนาคำสั่งศาลที่ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 เข้ามาในสำนวนด้วยจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะถูกโจทก์ฟ้องคดี ฉะนั้น ฟ้องของโจทก์และกระบวนพิจารณาหลังจากนั้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงมิชอบมาแต่ต้น เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีสภาพบุคคลอยู่ในขณะโจทก์ยื่นฟ้องปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อสำนวนขึ้นสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาทั้งหมดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นับแต่ศาลชั้นต้นรับฟ้องตลอดมา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,400,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างเหตุจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมไปก่อนถูกฟ้องผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญา โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ในการขอให้พิจารณาใหม่นั้นหากได้ความตามคำร้องก็มีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องถูกเพิกถอนไปในตัว และศาลชั้นต้นต้องเริ่มต้นดำเนินกระบวนพิจารณาขึ้นใหม่ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ก็เท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั่นเอง ผู้ร้องจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงมิชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องมานั้นไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ถือไม่ได้ว่าฎีกาของผู้ร้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อย่างไรก็ตาม ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฝ่ายเดียวและมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม 2541จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาทั้งหมด โดยอ้างเหตุจำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ก่อนโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2540 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ครั้นวันที่ 8 กันยายน 2541 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องโดยอ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ขอให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่มีสภาพบุคคลในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีโดยได้แนบสำเนาภาพถ่ายใบมรณบัตรของจำเลยที่ 1 ท้ายคำร้องด้วย แต่ศาลชั้นต้นยังคงยกคำร้องจนกระทั่งวันที่ 21 กันยายน 2541 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นรับคำร้องและทำการไต่สวน ผู้ร้องได้อ้างส่งสำเนาคำสั่งศาลจังหวัดลำปางคดีแดงที่ 1572/2540 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2540มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 เข้ามาในสำนวนด้วย โดยโจทก์มิได้นำสืบโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถึงแก่กรรมของจำเลยที่ 1 ดังนี้เห็นได้ว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะถูกโจทก์ฟ้องคดี ฉะนั้น ฟ้องของโจทก์และกระบวนพิจารณาหลังจากนั้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงมิชอบมาแต่ต้น เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีสภาพบุคคลอยู่ในขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเช่นกัน เมื่อสำนวนขึ้นสู่ศาลฎีกาเช่นนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย โดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาทั้งหมดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นับแต่ศาลชั้นต้นรับฟ้องตลอดมา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของผู้ร้องเฉพาะที่เกี่ยวกับการขอให้พิจารณาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่ผู้ร้อง กับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ