แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีผิดฐานฉุดคร่าอนาจารตาม ม.246-276 ให้ลงโทษตาม ม.276 ซึ่งเป็นบทที่หนัก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราด้วยดังนี้ จำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อข่มขืนกระทำชำเราได้ ส่วนข้อฉุดคร่าอนาจารต้องห้ามตาม ม.218
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลชั้นต้นฟังว่า เจ้าทุกข์กับจำเลยรักใคร่กัน จำเลยได้ขู่เข็ญใจฉุดคร่าเจ้าทุกข์ไปที่บ้าน แล้วกระทำชำเราเจ้าทุกข์หลายครั้ง ด้วยความยินยอมของเจ้าทุกข์+++หลังจำเลยได้มาขอขมาต่อบิดาเจ้าทุกข์จึงพิพากษาว่าจำเลยมีผิดตาม ม.๒๔๖ แล ๒๗๖ ให้ลงโทษตามบทที่หนักตาม ม.๒๗๖ จำคุก ๖ เดือน แต่ให้รอการลงอาญาไว้
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยได้ขู่เข็ญขืนใจฉุดคร่าพาเจ้าทุกข์ไปแลได้ข่มขืนกระทำชำเราเจ้าทุกข์ หาใช่ด้วยความยินยอมของเจ้าทุกข์ไม่ จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีผิดตามมาตรา ๒๗๖-๒๔๓ ให้จำคุก ๓ ปี
จำเลยฎีกาว่าจำเลยพาเจ้าทุกข์ไปโดยมิได้ข่มขืนใจ แลจำเลยได้ทำชำเราด้วยความยินยอมของเจ้าทุกข์
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่ศาลพิพากษาลงโทษฐานฉุดคร่าพาไปเพื่ออนาจารนั้น จำเลยฎีหาไม่ได้ต้องห้ามตาม ม.๒๑๘ แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญา ส่วนในข้อข่มขืนกระทำชำเรานั้นคงฟังข้อเท็จจริง แลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น