คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ 60,000 บาท แต่จำเลยให้การว่ากู้เพียง 30,000 บาท แต่ทำสัญญากู้ดังกล่าวเพราะโจทก์ต้องการจะผูกมัดจำเลยให้เลี้ยงดูน้องสาวโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ส่งมอบเงินให้จำเลยไม่ครบถ้วนตามสัญญา จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้ตามข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94วรรคสอง

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 91,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำฟ้องคำให้การและทางนำสืบของทั้ง 2 ฝ่ายว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2521 จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินหมาย จ. 1 โดยในสัญญาฉบับนี้ได้ระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมกันไว้ 60,000 บาทจริง คดีมีประเด็นตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่า จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปเพียง 30,000 บาท แต่ที่จำเลยต้องทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ 60,000 บาท เพราะโจทก์ต้องการจะผูกมัดจำเลยให้เลี้ยงดูนางสาวดวงแก้วน้องสาวโจทก์ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ได้หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการอ้างว่าสัญญากู้ตามที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นสัญญากู้ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ส่งมอบเงินให้จำเลยไม่ครบถ้วนตามสัญญา จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้ตามข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง ข้อนำสืบของจำเลยในประเด็นนี้จึงมิได้ต้องห้ามดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปก็คือจำเลยได้รับเงินจำนวนที่กู้ไปจากโจทก์เพียง 30,000 บาท ดังที่จำเลยให้การต่อสู้หรือไม่”

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาทด้วย

Share