แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้แก่กองทัพเรือตั้งแต่ พ.ศ. 2465และต่อมาได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับใช้ในราชการทหารพร้อมด้วยแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ พ.ศ.2479 ให้ประชาชนทราบแล้วทั้งต่อมา พ.ศ. 2528กรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุโดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดังนี้ย่อมถือว่าประชาชนทุกคนได้ทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครอบ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้มีการแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินส.ค.1 ก็ตาม แต่แบบแจ้งการครอบครองส.ค.1 ก็มิใช่คำอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงย่อมอ้างไม่ได้ว่าผู้เข้าไปยึดถือครอบครองในที่ดินไม่มีเจตนาเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่หวงห้ามได้ จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากณ. เมื่อ พ.ศ. 2530ภายหลังที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้ว ย่อมถือว่าจำเลยรู้อยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่หวงห้าม เมื่อจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทก็เพื่อยึดถือครอบครองและปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหารพ.ศ. 2478 มาตรา 5,7(3) และประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9(1),108 ทวิวรรคสอง เป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9(1),108 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2530 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2530 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันอันเป็นเวลาที่อยู่ในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตท้องที่อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐบริเวณทิศตะวันออกของเขาล้านอันเป็นที่ราชพัสดุและเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอบางละมุง ซึ่งเป็นที่ดินสำหรับใช้ในราชการกองทัพเรือในเขตปลอดภัยในราชการทหารอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ด้วยการปรับไถที่ดินและปลูกสร้างอาคารจำนวน 2 หลัง รวมเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน กับได้ปลูกสร้างอาคารที่พักอาศัยชั้นเดียว จำนวน 1 หลังและอาคารเพาะพันธุ์กุ้งชั้นเดียวจำนวน 1 หลัง อันเป็นโรงเรือนถาวรในบริเวณที่ดินที่บุกรุกในเขตหวงห้ามและเขตปลอดภัยในราชการทหารของสถานีทหารเรือสัตหีบโดยมิได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากกระทรวงกลาโหมและจากเจ้าหน้าที่ เหตุเกิดที่ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. 2478 มาตรา 3, 4, 5, 7พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปลอดภัยในราชการทหารของสถานีทหารเรือสัตหีบ ในท้องที่อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีและอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2510 มาตรา 4พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2479 มาตรา 4 พระราชบัญญัติราชพัสดุพ.ศ. 2518 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108, 108 ทวิประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515ข้อ 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กับขอให้จำเลยและบริวารออกจากเขตปลอดภัยในราชการทหารที่จำเลยยึดถือครอบครอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยอัยการพิเศษประจำเขต 2 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินหวงห้ามในเขตปลอดภัยในราชการทหารของสถานีทหารเรือสัตหีบ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. 2478 มาตรา 6, 7(3) ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9(1), 108 ทวิ วรรคสอง กระทงหนึ่ง ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9(1), 108 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุด จำคุก 6 เดือน และปรับ 4,000 บาทและมีความผิดฐานปลูกสร้างโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างลงในบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหาร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. 2478 มาตรา 5, 7(3) จำคุก 3 เดือนและปรับ 2,000 บาท อีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุก 9 เดือน และปรับ6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากเขตปลอดภัยในราชการทหารที่จำเลยยึดถือครอบครอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาท เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน เดิมเป็นที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชโองการให้สงวนไว้เป็นที่ดินสงวนเมื่อ พ.ศ. 2465 และต่อมาได้ทรงพระราชทานให้แก่กองทัพเรือ ตามพระบรมราชโองการลับที่2/249 ลงวันที่ 16 กันยายน 2465 กองทัพเรือได้ทำการสำรวจและกำหนดให้เป็นเขตหวงห้ามและทางราชการได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอบางละมุง จังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2479 ต่อมาได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่ดินดังกล่าวเป็นเขตปลอดภัยในราชการทหารอีก ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารของสถานีทหารเรือสัตหีบในท้องที่อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และอำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง พ.ศ. 2510 ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าว โดยในที่ดินพิพาทมีการกลบไถที่ดินและปลูกสร้างอาคาร 2 หลัง เมื่อ พ.ศ. 2498 มีการแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ต่อมา พ.ศ. 2530จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายณรงค์ ต่อมาวันที่21 มีนาคม 2534 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่จำเลยฎีกาว่า ขณะที่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อ พ.ศ. 2530 นั้นจำเลยไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุหรือหวงห้ามเพราะที่ดินพิพาทมี ส.ค.1 เมื่อมีการร้องทุกข์ว่าจำเลยกระทำผิดจำเลยก็ได้โต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวและเมื่อจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาแล้ว จำเลยได้ให้นายภานุเช่า เมื่อนายภานุเช่าไปแล้วนายภานุจึงปลูกสร้างอาคารดังกล่าวโดยที่จำเลยมิได้เป็นผู้ใช้ให้นายภานุปลูกสร้าง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง เห็นว่า เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้แก่กองทัพเรือตั้งแต่พ.ศ. 2465 และต่อมาได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับใช้ในราชการทหารพร้อมด้วยแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2479ให้ประชาชนทราบแล้ว ทั้งต่อมา พ.ศ. 2528 กรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุโดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดังนี้ย่อมถือว่าประชาชนทุกคนได้ทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครอง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แม้มีการแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินส.ค.1 เอกสารหมาย ล.1 ตามที่จำเลยอ้างก็ตาม แต่แบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 ก็มิใช่คำอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่จึงย่อมอ้างไม่ได้ว่าผู้เข้าไปยึดถือครอบครองในที่ดินไม่มีเจตนาเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่หวงห้ามได้ จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากนายณรงค์ เมื่อ พ.ศ. 2530 ภายหลังที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้วย่อมถือว่าจำเลยรู้อยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่หวงห้าม เมื่อจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐแล้ว จำเลยจะอ้างว่าที่ดินพิพาทมีการแจ้งแบบการครอบครองที่ดินมายกเว้นความผิดโดยอ้างว่าไม่มีเจตนากระทำผิดไม่ได้
แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมและเรียงกระทงลงโทษจำเลยนั้น เห็นว่า ไม่ถูกต้องเพราะการที่จำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทก็เพื่อยึดถือครอบครองและปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทจึงต้องลงโทษในบทหนักที่สุด คือตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497มาตรา 9(1), 108 ทวิ วรรคสอง ศาลฎีกาจึงสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยเขตปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. 2478 มาตรา 5, 7(3)ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9(1), 108 ทวิ วรรคสองลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9(1), 108 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากเขตปลอดภัยในราชการทหารที่จำเลยยึดถือครอบครอง