แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ได้พกพาอาวุธปืนขณะที่มิได้อยู่ในบ้านของตน แต่อยู่ที่บ้านของพี่โจทก์ จำเลยเป็นตำรวจได้ตรวจค้นพบอาวุธปืนนั้นที่ตัวโจทก์ จึงจับโจทก์และแจ้งความหาว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาล และพกพาอาวุธปืนกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การพกพาอาวุธปืนเช่นนี้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงการแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย และการที่จำเลยแจ้งด้วยว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความผิดอาญาการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานตำรวจกับตำรวจอีกหลายคนได้ร่วมกันกระทำการในตำแหน่งอันมิชอบเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษโดยร่วมกันเข้าทำการจับกุมตัวโจทก์แกล้งกล่าวหาว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลและพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมกับยึดปืน 2 กระบอกและกระสุนปืนของโจทก์ซึ่งเป็นปืนที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายในบ้านที่โจทก์ พี่โจทก์ และบิดาโจทก์พักอาศัย โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรู้หรือควรจะรู้ว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลอันธพาล และโจทก์ได้พกอาวุธในสถานที่ที่โจทก์มีสิทธิพาได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ได้กระทำผิดต่อกฎหมายใด ๆ จำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีอำนาจจับกุมหรือกล่าวหาโจทก์ในข้อหาว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลหรือข้อหาพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ กระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเป็นการกระทำในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกได้ควบคุมตัวโจทก์มาสถานีตำรวจจำเลยที่ 1 ได้แจ้งความกล่าวโทษเป็นความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา โดยรู้อยู่ว่ามิได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น แก่พนักงานสอบสวน ว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลและพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความแล้ว เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าว โจทก์ต้องถูกควบคุมกักขังไว้ที่สถานีตำรวจเป็นเวลา 3 วัน ในการที่จำเลยทั้งสองกับพวกจับกุมและควบคุมกักขังโจทก์จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันเรียกร้องเงินจากโจทก์ 20,000 บาท ถ้าโจทก์ยอมให้ก็จะปล่อยตัวโจทก์ไม่ควบคุมและดำเนินคดีโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนหรือจูงใจโจทก์เพื่อให้โจทก์หรือบุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินแก่ตนหรือผู้อื่นอีกด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และผู้อื่น และเป็นการทำให้โจทก์และผู้อื่นเสียหายหรืออาจเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,90,91, 148, 157, 172, 173, 200, 201, 310 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 13, 14ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า คดีโจทก์มีมูลความผิดเฉพาะจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 148, 201 มีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาตามมาตรา 148, 201 คำฟ้องนอกนั้นไม่มีมูล ให้ยกเสียและให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นว่า คดีโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 200, 201, 310, 83 ให้ประทับฟ้องโจทก์เฉพาะข้อหาตามมาตราที่กล่าวข้างต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ได้พกพาอาวุธปืนขณะที่มิได้อยู่ในบ้านของตน แต่อยู่ที่บ้านของพี่โจทก์ จำเลยเป็นตำรวจได้ตรวจค้นพบอาวุธปืนนั้นที่ตัวโจทก์ จึงจับโจทก์และแจ้งความหาว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาล และพกพาอาวุธปืนเช่นนี้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะการแจ้งความย่อมหมายถึงการแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมายและการที่จำเลยแจ้งด้วยว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาล นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความผิดอาญา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ คดีไม่มีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173
พิพากษายืน