คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ช.16090/2538ของศาลชั้นต้นจำเลยฟ้องว่าโจทก์ออกเช็คจำนวนเงิน50,000บาทนำมาแลกเงินสดจากจำเลยต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินการกระทำของโจทก์เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา4ซึ่งประเด็นข้อสำคัญในคดีมีว่าโจทก์ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยทุจริตหรือไม่การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าโจทก์นำเช็คจำนวนเงิน200,000บาทมาแลกเงินสดไปจากจำเลยจำเลยได้จ่ายเงินสด6,000บาทจ่ายเป็นเช็ค144,000บาทและเป็นแคชเชียร์เช็ค50,000บาทจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแลกเงินสดตามเช็คอีกฉบับหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับเช็คฉบับที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีดังนั้นแม้จำเลยเบิกความว่า”ข้าพเจ้าจ่ายเป็นเงินสด6,000บาท”จะเป็นความเท็จก็มิใช่ข้อสำคัญในคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ช.16090/2528 ระหว่าง นางอรศิริ พุฒขาว โจทก์นางสาวสายฝน ประสิทธิพยงค์ จำเลย ของศาลชั้นต้น จำเลยฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ออกเช็คของธนาคารกสิกรไทย สาขาอ่อนนุช ลงวันที่19 พฤศจิกายน 2527 จำนวนเงิน 50,000 บาท นำมาแลกเงินสดจากจำเลยต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของโจทก์เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประเด็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวจึงมีว่าโจทก์ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริตหรือไม่ การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2528 ว่าเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2527 โจทก์นำเช็คของธนาคารกสิกรไทยสาขาอ่อนนุช ลงวันที่ 19 เมษายน 2527 จำนวนเงิน 200,000 บาทมาแลกเงินสดไปจากจำเลย จำเลยได้จ่ายเป็นเงินสด 6,000 บาท จ่ายเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขากล้วยน้ำไท จำนวนเงิน144,000 บาท และเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดสาขาหัวหมาก สั่งจ่ายในนามของนายประเสริฐ จองวิริยะวงศ์สามีโจทก์จำนวนเงิน 50,000 บาท นั้น เห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแลกเงินสดตามเช็คอีกฉบับหนึ่งต่างหากซึ่งไม่เกี่ยวกับเช็คฉบับที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่ว่าโจทก์ออกเช็คฉบับที่ถูกจำเลยฟ้องโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต ดังนั้นข้อความที่จำเลยเบิกความว่า “ข้าพเจ้าจ่ายเป็นเงินสด 6,000 บาท” ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นความเท็จนั้น แม้จะเป็นความเท็จก็มิใช่เป็นข้อสำคัญในคดีนั้นแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share