แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว
เมื่อจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยานบุคคล และขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาท โจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีความจำเป็น แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงให้ทนายของคู่ความถ่ายภาพบ้านพิพาททั้งสองหลังส่งศาลแสดงว่าจำเลยทั้งสองพอใจคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่ติดใจขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาท การที่ศาลจะไปเดินเผชิญสืบหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ได้เป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ 75 อยู่ในตัว ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นเรื่องส่วนควบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๗๓/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้น คำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นเท็จ โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าข้อความดังกล่าวเป็นเท็จความจริงบ้านเลขที่ ๓๙ ปลูกมาประมาณ ๑๕ ปี และเป็นบ้านของจำเลยที่ ๒ มิใช่เป็นบ้านของจำเลยที่ ๑ และความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีแพ่งดังกล่าว ขอให้ลงดทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด๑ ปี ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑ ปี ปรับ ๔,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ มีอายุถึง ๘๒ ปี ศาลเห็นว่าชราภาพมากแล้ว เห็นควรให้โอกาสจำเลยที่ ๑ จึงให้รอการลงโทษจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๗๓/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุด โจทก์และจำเลยที่ ๑ยังโต้เถียงกันเกี่ยวกับบ้านพิพาทอยู่ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดนั้น เห็นว่า การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิจารณาและพิพากษาคดีนี้มาถูกต้องแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาท แต่ศาลชั้นต้นให้โจทก์และจำเลยทั้งสองถ่ายภาพมาแสดงแล้วศาลชั้นต้นนำเอาชื่อป้ายซึ่งมีชื่อนายไพโรจน์กัลณา มาเป็นข้อวินิจฉัย โดยมิได้นำเอาภาพถ่ายบ้านพิพาทมาเป็นข้อวินิจฉัย เป็นการไม่ถูกต้องตามประเด็นเพราะจำเลยทั้งสองต้องการให้ศาลไปเดินเผชิญสืบจริง ๆ เพื่อให้ศาลได้เห็นว่าบ้านพิพาทมีสภาพเป็นส่วนควบกันจริงหรือไม่ ศาลไม่ไปทำการเดินเผชิญสืบจึงถือว่าการนำสืบของจำเลยยังไม่หมดพยาน ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นั้น ได้ความว่า เมื่อจำเลยทั้งสองแถลงหมดพยานบุคคล และขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาท โจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไปเดินเผชิญสืบ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงมีคำสั่งให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสองถ่ายภาพบ้านพิพาท ๒ หลัง ส่งศาลปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๑ เอกสารในสำนวนอันดับที่ ๑๑๒ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้คัดค้าน จำเลยทั้งสองได้ถ่ายภาพบ้านพิพาทส่งศาลปรากฏตามคำแถลงลงวันที่ ๑กรกฎาคม ๒๕๓๑ และภาพถ่ายบ้านพิพาทเอกสารอันดับที่ ๑๑๔ และ ๑๑๕แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองพอใจตามคำสั่งของศาลชั้นต้น และไม่ติดใจขอให้ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบบ้านพิพาทแล้วการที่ศาลจะไปเดินเผชิญสืบหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล กรณีถือได้ว่าจำเลยทั้งสองหมดพยานที่จะนำเข้าสืบต่อศาลแล้ว
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า บ้านพิพาทเป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ ๗๕ หรือไม่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ได้เป็นส่วนควบกับบ้านเลขที่ ๗๕ อยู่ในตัว กรณีถือได้ว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้นแต่ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๒ ก็ย่อมจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยที่ ๑ เป็นธรรมดาประกอบกับจำเลยที่ ๒ เป็นหญิงและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ ๒ ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาทอีกโสดหนึ่ง และให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.