แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำแถลงขอวางเงินของจำเลยฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2540 คงปรากฏเพียงลายมือชื่อของหัวหน้าฝ่ายการเงิน บัญชี และพัสดุใต้ข้อความว่า “รับลงบัญชีแล้ว” กับมีใบเสร็จรับเงินแนบติดอยู่ โดยไม่ปรากฎว่ามีการเสนอคำแถลงของจำเลยต่อศาลเพื่อมีคำสั่งว่าจะให้รับเงินนั้นไว้เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไปตามที่จำเลยขอมาในคำแถลงหรือไม่ เมื่อโจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ออกหมายบังคับคดีให้ตามคำขอของโจทก์ แสดงว่าขณะนั้นศาลชั้นต้นยังไม่ถือเอาว่าเงินที่จำเลยนำมาวางศาลนั้นศาลได้รับไว้เพื่อให้โจทก์มาขอรับไป มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะออกหมายบังคับคดีเพื่อให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยอีก ดังนั้น เมื่อโจทก์มาขอรับเงินในวันที่ 21 เมษายน 2547 ศาลชั้นต้นจะกลับมาถือเอาในชั้นหลังนี้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลซึ่งผู้มีสิทธิได้เรียกเอาภายใน 5 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 ย่อมเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 546,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2539 จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2540 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ภายหลังคดีถึงที่สุด จำเลยนำเงิน 624,595.73 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามคำแถลงขอวางเงินฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2540 ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2541 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ ครั้นวันที่ 21 เมษายน 2547 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินที่จำเลยนำมาวางศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยนำเงินมาวางชำระหนี้พ้นกำหนด 5 ปี แล้ว เงินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ไม่อาจจ่ายแก่โจทก์ได้
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำแถลงขอวางเงินของจำเลยฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2540 คงปรากฏเพียงลายมือชื่อของหัวหน้าฝ่ายการเงิน บัญชี และพัสดุใต้ข้อความว่า “รับลงบัญชีแล้ว” กับมีใบเสร็จรับเงินแนบติดอยู่ โดยไม่ปรากฏว่ามีการเสนอคำแถลงของจำเลยต่อศาลเพื่อมีคำสั่งว่าจะให้รับเงินนั้นไว้เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ต่อไปตามที่จำเลยขอมาในคำแถลงหรือไม่ ต่อมาเมื่อโจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นก็ออกหมายบังคับคดีให้ตามคำขอของโจทก์ แสดงว่าขณะนั้นศาลชั้นต้นยังไม่ถือเอาว่าเงินที่จำเลยนำมาวางศาลนั้นศาลได้รับไว้เพื่อให้โจทก์มาขอรับไป มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะออกหมายบังคับคดีเพื่อให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยอีก ดังนั้น เมื่อโจทก์มาขอรับเงินในวันที่ 21 เมษายน 2547 ศาลชั้นต้นจะกลับมาถือเอาในชั้นหลังนี้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลซึ่งผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาภายใน 5 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 ย่อมเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษารับเงินดังกล่าว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อที่ว่าการนำเงินมาวางศาลเป็นวิธีการชำระหนี้ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้ดำเนินการจ่ายเงินจำนวน 624,595.73 บาท ที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ตามคำแถลงขอวางเงินของจำเลยฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2540 ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ทั้งสองศาลให้เป็นพับ.