คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การจำเลยได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า หนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกได้หักกลบลบหนี้กับหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยขายให้โจทก์ครั้งแรก แต่จำเลยกลับนำสืบว่าได้หักหนี้กับหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยขายให้โจทก์ครั้งหลังที่ทำในรูปสัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นหนี้คนละรายกัน ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ เพราะเป็นข้อนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้
ข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นต่อศาลและส่งให้แก่โจทก์ซึ่งสำเนาเอกสารก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้น เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคสอง โจทก์เพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นมาโต้แย้งคัดค้านในชั้นฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ในกรณีที่หนี้ที่ต้องชำระมีทั้งดอกเบี้ยและหนี้อันเป็นประธาน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 มิได้บังคับว่าลูกหนี้จะขอชำระหนี้อันเป็นประธานโดยยังไม่ชำระดอกเบี้ยไม่ได้เสียเลย เพียงแต่เจ้าหนี้มีสิทธิบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ได้เท่านั้น เมื่อจำเลยขอชำระเงินต้นโดยไม่ชำระดอกเบี้ย โจทก์มิได้บอกปัดไม่ยอมรับชำระเงินต้น กลับยอมรับชำระหนี้ไว้ จึงถือว่าจำเลยชำระเงินต้นให้แก่โจทก์แล้ว คงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป ๒ ครั้ง ตกลงชำระดอกเบี้ยตามกฎหมายจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เลย ขอบังคับให้จำเลยใช้เงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกระงับไปแล้ว โดยได้หักกลบลบหนี้กับส่วนหนึ่งของราคาที่ดิน ๑๐ แปลงที่จำเลยขายให้โจทก์ สำหรับหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับหลังจำเลยชำระเงินต้นให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว คงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นตามฟ้องให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเฉพาะดอกเบี้ยของต้นเงินตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งหลัง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์สองครั้ง ครั้งแรกได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนโอนขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ระบุว่าที่ดินที่โอนขายมี ๑๐ แปลง ครั้งที่สองทำสัญญากันในรูปสัญญาเช่าซื้อที่ดิน คำให้การของจำเลยได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกได้หักกลบลบหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยขายให้โจทก์ครั้งแรก แต่จำเลยกลับนำสืบว่าได้หักหนี้กับหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยขายให้โจทก์ครั้งหลังที่ทำในรูปสัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นหนี้คนละรายกัน ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้เพราะเป็นข้อนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกให้โจทก์
ที่โจทก์ฎีกาว่า ใบรับเงินของโจทก์ที่ออกให้จำเลยตามเอกสารหมาย ล.๓ ซึ่งเป็นสำเนาของใบรับเงินเอกสารหมาย ล.๔ จำเลยมิได้ส่งสำเนาต่อศาลและโจทก์ก่อนสืบพยานครั้งแรกสามวัน รับฟังไม่ได้นั้น ปรากฏว่าจำเลยส่งเอกสารหมาย ล.๓ ต่อศาลในขณะสืบพยานจำเลยนัดแรก และในวันสืบพยานจำเลยนัดต่อมาจำเลยก็ส่งเอกสารหมาย ล.๔ ต่อศาลในการสืบพยานจำเลยทั้งสองนัดดังกล่าวทนายโจทก์ก็มาซักค้านพยานจำเลยด้วย โจทก์มิได้ยื่นข้อค้านภายในแปดวันนับแต่วันจำเลยส่งเอกสารดังกล่าวต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ วรรคสอง โจทก์เพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นมาโต้แย้งคัดค้านในชั้นฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยชำระเงินต้นตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับหลังแล้ว ยังคงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ย เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๙ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในกรณที่หนี้ที่ต้องชำระมีทั้งดอกเบี้ยและหนี้อันเป็นประธานกฎหมายบทนี้มิได้บังคับว่าลูกหนี้จะขอชำระหนี้อันเป็นประธานโดยยังไม่ชำระดอกเบี้ยไม่ได้เสียเลยเพียงแต่ให้สิทธิเจ้าหนี้ว่าถ้าลูกหนี้ระบุให้จัดใช้หนี้อันเป็นประธานก่อนโดยยังไม่ชำระดอกเบี้ยเจ้าหนี้มีสิทธิบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้เท่านั้น คดีนี้จำเลยขอชำระเงินต้นโดยไม่ชำระดอกเบี้ยโจทก์มิได้บอกปัดไม่ยอมรับชำระเงินต้น กลับยอมรับชำระหนี้ไว้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๒๙ และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ชำระเงินต้นตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับหลังแก่โจทก์แล้ว คงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรก และให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับหลัง

Share