คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งถ้าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาทรัสต์รีซีท จำเลยที่ 1 ต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ตามอัตราที่กำหนดไว้เท่านั้นแต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญา ธนาคารโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้ในอัตราสูงสุดที่โจทก์กำหนดไว้นับตั้งแต่เวลาที่สินค้ามาถึงกรุงเทพมหานครถึงวันที่ชำระเงิน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงสุดในแต่ละช่วงเวลาของโจทก์แตกต่างกันตามประกาศของโจทก์แต่ละฉบับ จำเลยที่ 1 ก็ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ประกาศไว้ในช่วงเวลาที่ผิดนัดของสัญญาทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์จะต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่การที่สัญญาดังกล่าวให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์กำหนดไว้ได้เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและเป็นลูกค้าของโจทก์ สาขาวิสุทธิกษัตริย์ ได้ทำคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ และตกลงยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยทั่วไปนับแต่วันที่ผู้ขายได้เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากธนาคารสาขาหรือธนาคารตัวแทนของโจทก์จนถึงวันชำระหนี้ ตลอดจนยอมใช้ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่โจทก์ดำเนินการไปเกี่ยวกับการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้กับโจทก์ สาขาวิสุทธิกษัตริย์รวม 9 ฉบับ ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 1691 เอส 640460 มูลค่า 12,058.15 ปอนด์สเตอร์ลิง สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 28 พฤษภาคม 2538 เลขที่ 1691ที 640123 มูลค่า 32,400 ดอลลาร์สหรัฐ สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 28 เมษายน 2538 เลขที่ 1691 ที 640159 มูลค่า23,300 ดอลลาร์สหรัฐ สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 21 กรกฎาคม 2538 เลขที่ 1691 ที 640170 มูลค่า 102,000ดอลลาร์สหรัฐ สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 8พฤษภาคม 2538 เลขที่ 1691 ที 640225 มูลค่า 114,400 ดอลลาร์สหรัฐสัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 15 สิงหาคม 2538 เลขที่ 1691 เอส 640997 มูลค่า 4,525 ปอนด์สเตอร์ลิง สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 5 ตุลาคม 2538 เลขที่ 1691 เอส 641174 มูลค่า 21,744.42 ปอนด์สเตอร์ลิง สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 8 มกราคม 2539 เลขที่ 1691 ที 640330มูลค่า 7,658.15 ปอนด์สเตอร์ลิง สัญญาว่าจะชำระคืนให้แก่โจทก์วันที่ 6 ธันวาคม 2538 เลขที่ 1691 ที 640357 มูลค่า 47,900ดอลลาร์สหรัฐ สัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าคืนให้แก่โจทก์วันที่ 8มกราคม 2539 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในวันที่ 12 พฤษภาคม2537 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันลำดับที่สอง โฉนดที่ดินเลขที่ 18778 ถึง 18780 และ 29662ถึง 29676 ตำบลราษฎร์บูรณะ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครไว้กับโจทก์เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13.75ต่อปี เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่กับโจทก์ในขณะนั้นหรือที่จะมีต่อไปในภายหน้า และจำเลยที่ 2 ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนว่า หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย จำเลยที่ 2 ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้จนครบ เมื่อสัญญาทรัสต์รีซีททุกฉบับครบกำหนดเวลาชำระเงินจำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1 และบอกกล่าวบังคับจำนองจำเลยที่ 2 โดยส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือบอกกล่าวและครบกำหนดชำระแล้วจำเลยทั้งสองจึงต้องชำระต้นเงินดอกเบี้ย ค่าอากร ค่าเทเล็กซ์ และอื่น ๆจำนวน 15,186,528.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปีจากต้นเงิน 9,766,590.01 บาท

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจำนวน5,353,055.75 บาท จากจำเลยที่ 1 เพราะเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 หรือร้อยละ 19.75 เพราะเป็นการคิดดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดและเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,121,682.25 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี จากต้นเงิน 9,766,590.01 บาทนับถัดจากวันฟ้อง (31 กรกฎาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18778, 18779, 187780,29662, 29663, 29664, 29665, 29666, 29667, 29668, 29669,29670, 29671, 29672, 29673, 29674, 29675, 29676, เลขที่ดิน633, 634, 635, 1494, 1495, 1496, 1497, 1498, 1499, 1500,1501, 1487, 1488, 1489, 1490, 1491, 1492, 1493 ตำบลราษฎร์บูรณะอำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอให้บังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1เป็นลูกค้าของโจทก์ สาขาวิสุทธิกษัตริย์ ได้ทำคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตรวม 9 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.24 เพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านโจทก์ สาขาสะพานผ่านฟ้า เมื่อสินค้าที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อส่งมาถึงประเทศไทย โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1ไม่มีเงินมาชำระ และได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์ ตามสัญญาทรัสต์รีซีทรวม 9 ฉบับ เอกสารหมาย จ.25 ถึง จ.42 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2537จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดหรือผิดสัญญา ไม่ชำระหนี้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ในต้นเงิน 10,000,000 บาทและดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระทั้งสิ้นปรากฏตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.43 และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 18778 ถึง 18780 และ 29662 ถึง 29676 ตำบลราษฎร์บูรณะอำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร รวม 18 แปลง เป็นประกันลำดับที่สอง เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13.75ต่อปี เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่กับโจทก์ในขณะนั้นหรือที่จะมีต่อไปในภายหน้า และจำเลยที่ 2 ตกลงว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้ไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย จำเลยที่ 2ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้จนครบถ้วน ปรากฏตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพร้อมข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันเอกสารหมาย จ.44 เมื่อสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง 9 ฉบับ ครบกำหนดชำระโดยสัญญาทรัสต์รีซีทฉบับที่ 1 จำนวนเงิน 12,058.15 ปอนด์สเตอร์ลิงคิดเป็นเงินไทย 476,809.40 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 28 พฤษภาคม2538 ฉบับที่ 2 จำนวนเงิน 32,400 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย798,012 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 28 เมษายน 2538 ฉบับที่ 3จำนวนเงิน 23,300 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 578,539 บาทครบกำหนดชำระวันที่ 21 กรกฎาคม 2538 ฉบับที่ 4 จำนวนเงิน102,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 2,510,220 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 8 พฤษภาคม 2538 ฉบับที่ 5 จำนวนเงิน 114,400 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 2,856,568 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 15 สิงหาคม 2538 ฉบับที่ 6 จำนวนเงิน 4,525 ปอนด์สเตอร์ลิงคิดเป็นเงินไทย 180,604.06 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 5 ตุลาคม2538 ฉบับที่ 7 จำนวนเงิน 21,744.42 ปอนด์สเตอร์ลิง คิดเป็นเงินไทย854,283.90 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 8 มกราคม 2539 ฉบับที่ 8จำนวนเงิน 7,658.15 ปอนด์สเตอร์ลิง คิดเป็นเงินไทย 298,246.65 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 6 ธันวาคม 2538 และฉบับที่ 9 จำนวนเงิน47,900 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 1,213,307 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 8 มกราคม 2539 จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระรวมต้นเงินทั้งสิ้น 9,766,590.01 บาท ส่วนค่าอากร ค่าเทเล็กซ์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมเป็นเงิน 64,846.25 บาท โจทก์ได้หักจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ 1 ไว้แล้ว โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 และบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยดอกเบี้ยของต้นเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีททั้ง 9 ฉบับ คิดในอัตราสูงสุดของประกาศธนาคารโจทก์นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินรวม 5,355,092.24 บาท

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อแรกว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงใด จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้ง 9 ฉบับ มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ และตามคำฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายให้ชัดเจนว่าคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทนั้น จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเท่าใดเพียงแต่ระบุว่า จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยทั่วไป ทั้งในสัญญาก็มิได้กำหนดให้โจทก์มีสิทธิปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปีเท่านั้น เห็นว่า ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1ทั้ง 9 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.24 ข้อ 7 มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ว่า ข้าพเจ้ายินยอมชำระเงิน เมื่อมีการยื่นตั๋วแลกเงินของผู้รับประโยชน์ในแต่ละจำนวนตามตั๋วแลกเงินภายใต้เอกสารเครดิตนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในตั๋วแลกเงินแต่ละฉบับ ตามอัตราดอกเบี้ยของธนาคารท่านนับจากวันที่ออกตั๋วแลกเงินถึงวันชำระเงิน รวมตลอดทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินนั้นถ้าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้ายินยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่กำหนดโดยธนาคารท่าน นับจากวันที่สินค้ามาถึงกรุงเทพมหานครโดยทางเรือ หรือทางเครื่องบินถึงวันที่ชำระเงินตามจำนวนดังกล่าว ดังนั้น เมื่อสินค้าตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้ง 9 ฉบับ เดินทางมาถึงกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์รวม 9 ฉบับ เพื่อขอรับเอกสารการรับสินค้าตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตแต่ละฉบับไปก่อน โดยยังมิได้ชำระเงินโดยมีข้อสัญญาว่า จำเลยที่ 1 จะชำระเงินตามตั๋วแลกเงินที่ออกไว้ในการนี้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.25,14.25, 15, 14.50, 15.25, 15.25, 15.50, 15.50 และ 15.75 ต่อปีสัญญาทรัสต์รีซีทจึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งมีความหมายว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาทรัสต์รีซีท จำเลยที่ 1ย่อมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้ง 9 ฉบับตามอัตราดังกล่าวเท่านั้น แต่ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา คือผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์กำหนดไว้ นับตั้งแต่เวลาที่สินค้ามาถึงกรุงเทพมหานครถึงวันที่ชำระเงิน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงสุดในแต่ละช่วงเวลาของโจทก์แตกต่างกัน ตามประกาศของโจทก์แต่ละฉบับ จำเลยที่ 1 ก็ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ประกาศไว้ในช่วงเวลาที่ผิดนัดของสัญญาทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับ กรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์จะต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบแต่อย่างใด แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องถึงอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาไว้ชัดเจน แต่ในคำฟ้องได้มีการคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดของหนี้แต่ละจำนวนจนถึงวันฟ้อง โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดของหนี้แต่ละจำนวนถึงวันที่ 8 กันยายน 2540 และตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2540 อัตราร้อยละ 19 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2540 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2541 อัตราร้อยละ 19.5ต่อปี และตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2541 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2541ซึ่งเป็นวันฟ้องคิดอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี โดยได้แนบสำเนาประกาศธนาคารโจทก์ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดหลายฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดชั้นสูงสุดของธนาคารโจทก์ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2538 ถึงวันที่ 8 กันยายน 2538 กำหนดไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2538 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม2540 กำหนดไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2540ถึงวันที่ 1 เมษายน 2541 กำหนดไม่เกินร้อยละ 19.5 ต่อปี และตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2541 ถึงวันฟ้อง กำหนดไม่เกินร้อยละ 19.75 ต่อปีและในชั้นพิจารณา โจทก์นำสืบโดยอ้างส่งสำเนาประกาศ เรื่อง กำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดของธนาคารโจทก์ ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม2538 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 รวม 26 ฉบับ ตามเอกสารหมายจ.141 ถึง จ.166 ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตรงกันกับช่วงเวลาที่โจทก์คิดคำนวณมาในฟ้อง ดังนั้น คำฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์จึงชัดเจนเพียงพอที่จะกำหนดดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดได้และตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต 9 ฉบับ มีข้อความทำนองเดียวกันในข้อ 7 ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่กำหนดโดยธนาคารโจทก์ นับจากวันที่สินค้ามาถึงกรุงเทพมหานครถึงวันที่ชำระเงินตามจำนวนดังกล่าวนั้นไม่ได้ระบุจำกัดว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในวันที่มีการผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น จึงหมายถึงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่มีได้หลายอัตราตลอดช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ได้ประกอบกับในช่วงปี 2537 และ 2538ที่มีการทำสัญญากันนี้ก็ปรากฏว่าโจทก์ประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งตามประกาศในเอกสารหมาย จ.138 ถึง จ.154 ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่สัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตแต่ละฉบับที่ทำสัญญาในช่วงเวลาต่าง ๆ กันก็คิดดอกเบี้ยในอัตราแตกต่างกัน จึงเห็นได้ว่าสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้คิดดอกเบี้ยปรับเปลี่ยนลอยตัวได้ อย่างไรก็ตาม การที่สัญญาดังกล่าวมีข้อสัญญาให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์กำหนดไว้ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา คือ ผิดสัญญา ดังนั้นเงินค่าดอกเบี้ยส่วนที่สูงกว่าที่กำหนดไว้เดิมจึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยคำนึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383 เห็นว่า ดอกเบี้ยผิดนัดอัตราต่าง ๆ อันเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์เรียกร้องมาในคำฟ้องเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป เห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์โดยกำหนดให้เป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศ เรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดของโจทก์บวก 0.25 โดยปรับเปลี่ยนขึ้นลงแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศของโจทก์ดังกล่าวที่ประกาศไว้แล้วตามเอกสารหมาย จ.146 ถึง จ.153และที่จะประกาศต่อไปหลังวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดและไม่เกินร้อยละ 19.75 ต่อปีตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ และให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมด้วย ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงินรวม 5,355,092.24 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 476,809.40 บาท 798,012บาท 578,539 บาท 2,510,220 บาท 2,856,568 บาท 180,604.06บาท 854,283.90 บาท 298,246.65 บาท และ 1,213,307 บาทนับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2538 วันที่ 29 เมษายน 2538 วันที่ 22กรกฎาคม 2538 วันที่ 9 พฤษภาคม 2538 วันที่ 16 สิงหาคม 2538วันที่ 6 ตุลาคม 2538 วันที่ 9 มกราคม 2539 วันที่ 7 ธันวาคม 2538และวันที่ 9 มกราคม 2539 ตามลำดับ ในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยทั่วไปตามประกาศเรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดของโจทก์บวก 0.25 โดยปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไปตามประกาศของโจทก์ดังกล่าวที่ประกาศไว้แล้วก่อนฟ้องและที่จะประกาศให้มีผลบังคับต่อไปหลังวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น แต่ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดและไม่เกินร้อยละ 19.75 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share