แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์มุ่งประสงค์ฟ้องเรียกร้องติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336และอ้างว่าสิทธิติดตามเอาคืนของโจทก์ยังมีอยู่และไม่มีอายุความนั้น เมื่อได้ความว่าไม่มีทรัพย์สินของโจทก์อยู่กับจำเลยอีกแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอคืนทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลย แม้จะไม่มีทรัพย์สินของโจทก์อยู่ที่จำเลย หากโจทก์ฟ้องและฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายและฟ้องคดีภายในหนึ่งปีตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 แล้ว จำเลยย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ละเลยเสียไม่ได้ฟ้องคดีภายในอายุความ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน2,846,884.43 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยทั้งสองได้กระทำโดยสุจริต มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ จำเลยทั้งสองจึไงมีต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า ปลายเดือนตุลาคม 2525 นางสาวสำอางค์ ศรีสุวรรณ พนักงานของโจทก์ร่วมกับนายอำนวย เกาะเพชร ปลอมหนังสือรับรองบริษัทโจทก์โดยเปลี่ยนข้อความในหนังสือรับรองเรื่องอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนและผูกพันโจทก์จาก “พันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณะ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท หรือกรรมการอื่น 2 คนลงลายมือชื่อร่วมกันแล้วประทับตราสำคัญของบริษัท” เป็น “นางสาวสำอางค์ ศรีสุวรรณลงลายมือชื่อแล้วประทับตราสำคัญของบริษัท หรือกรรมการอื่น 2 คนลงลายมือชื่อร่วมกันแล้วประทับตราสำคัญของบริษัท” แล้วนำไปเปิดบัญชีเงินฝากในนามของโจทก์ กับธนาคารจำเลยที่ 2 สาขาเยาวราชซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้นางสาวสำอางค์เปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวัน เมื่อวันที่27 ตุลาคม 2525 โดยรับเช็คของธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวนเงิน851,517.87 บาท ที่กรมการเงินทหารบกออกให้โจทก์นำฝากเข้าบัญชีในวันนั้นเอง ต่อมานายอำนวยและนางสาวสำอางค์ได้นำเช็คของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ทางราชการจ่ายให้โจทก์ไปเข้าบัญชีดังกล่าวอีก 5ครั้ง รวมเป็นเงินที่นำเข้าบัญชีทั้งสิ้น 2,489,080.18 บาท เงินจำนวนดังกล่าวนี้ นายอำนวยได้ให้นางสาวสำอางค์ถอนออกจากบัญชีไปหมดสิ้นแล้ว ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2525 พันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณะกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์รู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม2526 ในวันที่พันตำรวจตรีกมลไปขอตรวจสอบหลักฐานจากธนาคารจำเลยที่ 2 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน2527
ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องในมูลละเมิด ไม่ชอบ เพราะโจทก์มุ่งประสงค์ฟ้องเรียกร้องติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์ อันได้แก่เงินจำนวน2,489,080.18 บาท คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 สิทธิติดตามเอาคืนของโจทก์จึงยังมีอยู่และไม่มีอายุความนั้น เห็นว่า ได้ความว่าเงินจำนวนดังกล่าวนางสาวสำอางค์ผู้ฝากเงินได้ถอนออกจากบัญชีไปหมดสิ้นแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2525 ไม่มีทรัพย์สินของโจทก์อยู่กับจำเลยอีกแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอคืนทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลย ฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งถ้าโจทก์ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 และโจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองประมาทเลินเล่อจริง แม้จะไม่มีทรัพย์สินของโจทก์อยู่ที่จำเลย จำเลยทั้งสองก็ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่โจทก์ก็ละเลยเสียไม่ได้ฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียจึงชอบแล้ว สำหรับคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ และเมื่อฟังว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป…”
พิพากษายืน.