คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3005/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยตามคำพิพากษาโดยซื้อจากการขายโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี ก็โดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนอง ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกัน ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่โดยอาศัยเหตุดังกล่าว มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนอง วันนัดพิจารณาคู่ความแถลงว่าตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ในคดีหมายเลขแดงที่ 396/2544
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) อ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ รวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยตามคำพิพากษาในคดีนี้มาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย จำเป็นที่ผู้ร้องต้องร้องสอดเข้ามาในคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ยื่นคำแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้องขอ และไม่คัดค้านคำร้องขอของผู้ร้อง
วันที่ 21 ธันวาคม 2547 ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องขอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนโดยอาศัย ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) มิใช่อาศัยอำนาจตามกฎหมายพิเศษที่อนุญาตให้มีการสวมสิทธิเป็นโจทก์แทนได้ การที่ผู้ร้องเสียค่าคำร้องมาเพียง 20 บาท จึงไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นเป็นคำฟ้อง และถือว่าเป็นคำร้องขอที่มีทุนทรัพย์เท่ากับหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งผู้ร้องเรียกร้องให้จำเลยชำระให้แก่ผู้ร้องแทนการชำระให้แก่โจทก์ จึงให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ดังกล่าวภายใน 30 วัน ผู้ร้องจึงชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 2.5 ของจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา เป็นเงิน 30,062.50 บาท และได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นโจทก์ได้ตามร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องเพียงว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์เท่ากับจำนวนหนี้ตามคำพิพากษานั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี ก็โดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยตามคำพิพากษามาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนอง ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่โดยอาศัยเหตุดังกล่าว มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง และเมื่อผู้ร้องได้ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งของศาลชั้นต้นมาแล้ว จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น 30,062.50 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share