แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ขณะจำเลยขับรถยนต์บรรทุกไม้กระดานซึ่งมีไม้กระดานบางส่วนยื่นพ้นท้ายรถออกมา 1 เมตรเศษ จอดรอเลี้ยวตรงเกาะกลางถนนโจทก์ขับรถยนต์ชนไม้กระดานที่ยื่นออกมาในเวลาที่ท้องฟ้ากำลังสลัวพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแต่ยังไม่มืดและไม้กระดานที่ยื่นมีจำนวนมาก ย่อมมองเห็นชัดเจนในระยะไกล หากโจทก์ระมัดระวังตามสมควรย่อมสังเกตเห็นและหลบหลีกไม่ให้ชนไม้กระดานได้ การเกิดเหตุชนกันนั้นจึงเป็นเพราะโจทก์ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง แม้จำเลยมิได้ติดสัญญาณไฟหรือผ้าสีแดงไว้ที่ปลายไม้กระดาน โจทก์ก็เป็นฝ่ายประมาทมากกว่าจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2526 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกทะเบียนหมายเลข 83-7423กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 บรรทุกไม้กระดานไปในกิจการของจำเลยทั้งสองด้วยความประมาท กล่าวคือ มีไม้กระดานที่บรรทุกมาบางส่วนยื่นออกนอกท้ายรถประมาณ 2 เมตรเศษ โดยมิได้ติดสัญญาณไฟหรือผ้าสีแดงไว้ที่ปลายไม้กระดานที่ยื่นออกไปนั้น เป็นเหตุให้รถยนต์ทะเบียนหมายเลข 8 ก-6518 กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ขับมาในช่องทางดังกล่าวไปชนกระแทกไม้กระดานที่ยื่นออกมานั้นอย่างแรงได้รับความเสียหาย รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 34,935 บาทขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของโจทก์หากโจทก์จะเสียหายก็ไม่เกิน 5,000 บาทฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 28,274 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 1,061 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกไม้กระดาน มีไม้กระดานที่บรรทุกมาดังกล่าวบางส่วนยื่นพ้นท้ายรถออกไปประมาณ 1 เมตรเศษ ขณะที่จำเลยที่ 2 จอดรถเพื่อรอเลี้ยวตรงบริเวณเกาะกลางถนนอยู่นั้น โจทก์ได้ขับรถยนต์ไปชนถูกไม้กระดานที่ยื่นออกไปดังกล่าว เป็นเหตุให้รถโจทก์พังเสียหายคดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์หลายประการด้วยกัน
สำหรับปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ว่า ความเสียหายเกิดขึ้นจากความประมาทของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และจำเลยที่ 2 ต้องกันว่า เหตุเกิดเวลาประมาณ 18.30 นาฬิกาและยังได้ความจากคำเบิกความของโจทก์อีกว่าขณะนั้นท้องฟ้ากำลังสลัวพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน จึงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุยังไม่มืดเมื่อพิจารณาไม้กระดานที่ยื่นพ้นท้ายรถออกไปตามภาพถ่ายหมาย จ.5และ จ.6 ปรากฏว่าไม้กระดานที่ยื่นออกไปดังกล่าวมีจำนวนมากแผ่นด้วยกัน เมื่อฟังประกอบข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุยังไม่มืด ย่อมสามารถมองเห็นไม้กระดานที่ยื่นพ้นท้ายรถออกไปดังกล่าวได้ชัดเจนในระยะไกล หากโจทก์ขับรถมาด้วยความระมัดระวังตามสมควรแล้ว ย่อมต้องสังเกตเห็นและสามารถหลบหลีกไม่ให้ชนถูกไม้กระดานที่ยื่นออกมาดังกล่าวได้ การที่โจทก์ขับรถไปชนในพฤติการณ์ที่โจทก์มีโอกาสหลบเลี่ยงไม่ให้ชนได้เช่นนี้ จึงฟังได้ว่าโจทก์ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง แม้จำเลยที่ 2จะมิได้ติดสัญญาณไฟหรือผ้าสีแดงไว้ที่ปลายไม้กระดานดังที่โจทก์นำสืบโจทก์ก็ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายประมาทมากกว่าจำเลยที่ 2 อยู่ดีโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายที่บังเกิดขึ้น โดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้ออื่นต่อไป”
พิพากษายืน