แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารผู้คัดค้านและอยู่ในระหว่างบัญชียังเดินสะพัด การที่จำเลยนำเช็คของธนาคารอื่นมาเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อให้ธนาคารผู้คัดค้านเรียกเก็บเงินให้ภายในระยะเวลา 3 เดือนก่อนจำเลยถูกโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลาย ถือได้ว่าเป็นการนำเงินตามเช็คฝากเข้าบัญชีเดินสะพัดหาใช่จำเลยมีเจตนาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารผู้คัดค้าน ที่ธนาคารผู้คัดค้านเรียกเก็บเงินตามเช็คได้แล้วนำมาหักกับยอดหนี้ที่จำเลยเบิกเกินบัญชีอยู่ในขณะนั้น เป็นเพียงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการบัญชีตามปกติธรรมดาของธนาคาร กรณีมิใช่จำเลยได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 115 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอให้ศาลเพิกถอนการฝากเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ได้
ธนาคารผู้คัดค้านนำเงินฝากประจำของจำเลยไปเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยภายในกำหนด 3 เดือนก่อนจำเลยถูกโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายเพื่อเป็นการชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีธนาคารผู้คัดค้าน การกระทำของธนาคารผู้คัดค้านดังกล่าวเกิดจากข้อตกลงตามหนังสือยินยอมให้หักบัญชีเงินฝากประจำชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับธนาคารผู้คัดค้าน โดยทำขึ้นก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลายเกือบ 9 เดือน ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวลูกหนี้ยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านนำเงินในบัญชีฝากประจำมาหักหนี้เบิกเกินบัญชีในบัญชีเดินสะพัด เมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องมีการตัดทอนบัญชีก่อนและโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือขอความยินยอมลูกหนี้เสียก่อน การที่ธนาคารหักหนี้ดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำหรือยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านกระทำการโอนบัญชีและหักหนี้ในระหว่างระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้ธนาคารผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 115 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้ (อ้างฎีกา 2483/2527)
ย่อยาว
คดีนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างลูกหนี้ (จำเลย) กับธนาคารผู้คัดค้านเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ และวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ โดยอ้างว่าการที่ลูกหนี้จำเงินเข้าบัญชีและยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้าน โอนเงินในบัญชีฝากประจำชำระหนี้เป็นการกระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลา ๓ เดือน ก่อนปีกมิการขอให้ล้มละลาย โดยมุ่งหมายให้ธนาคารได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด คัดค้านว่าเงินทั้งสองจำนวนที่ผู้ร้องให้เพิกถอนมิได้เป็นเงินที่ลูกหนี้นำมาชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านคืนเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ พร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านฎีกา
ในปัญหาที่ผู้คัดค้านหักเงินในบัญชีกระแสรายวันของลูกหนี้จำนวน ๑๒,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ลูกหนี้ (จำเลย) เปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับธนาคารผู้คัดค้านและลูกหนี้ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวมีกำหนด ๑๒ เดือน โดยจะครบกำหนดสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๓ บัญชีกระแสรายวันเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๖ สาระสำคัญของบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ข้อตกลงให้คิดตัดทอนหักกลบลบหนี้กันเป็นคราว ๆ ไป และเมื่อตัดทอนบัญชีกันแล้ว ฝ่ายที่เป็นเจ้าหนี้ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคจึงจะมีสิทธิเรียกให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ได้ ฉะนั้นในระหว่างบัญชียังเดินสะพัดก่อนที่จะถึงกำหนดตัดทอนบัญชีกันแม้จะมีการนำเงินเข้าฝากในบัญชีก็ตาม ก็เป็นเพียงการนำเงินเข้าฝากในบัญชีเดินสะพัดเท่านั้น หาใช่เป็นการนำเงินเข้าชำระหนี้แต่ประการใดไม่ เพราะขณะที่นำเงินเข้าฝากยังไม่ถือว่ามีหนี้ที่จะต้องชำระดังกล่าวแล้ว ดังนั้นการที่ลูกหนี้เอาเช็คของธนาคารอื่นมาเข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกหนี้จำนวน ๑๒,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๒ เพื่อให้ธนาคารผู้คัดค้านเรียกเก็บเงินให้จึงเป็นการนำเงินตามเช็คดังกล่าวฝากเข้าบัญชีเดินสะพัดของลูกหนี้ หาใช่ลูกหนี้มีเจตนาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารผู้คัดค้านแต่ประการใดไม่ ที่ธนาคารผู้คัดค้านเรียกเก็บเงินจำนวน ๑๒,๐๐๐ บาทตามเช็คได้แล้ว ได้นำมาหักกับยอดหนี้ที่ลูกหนี้เบิกเกินบัญชีอยู่ในขณะนั้น ก็เป็นเพียงวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการบัญชีตามปกติธรรมดาของธนาคารเท่านั้น กรณีมิใช่ลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามาพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ มาตรา ๑๑๕ แต่ประการใดไม่ ผู้ร้องจึงขอให้ศาลเพิกถอนการฝากเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ได้
ในปัญหาที่ผู้คัดค้านนำเงินฝากประจำของลูกหนี้จำนวน ๑,๐๔๑,๑๔๘ บาท ๔๘ สตางค์ เข้าหักกลบลบหนี้ที่ลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ลูกหนี้ได้ทำหนังสือยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านนำเงินในบัญชีฝากประจำมาหักหนี้เบิกเกินบัญชีในบัญชีเดินสะพัดเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องมีการตัดทอนบัญชีกันเสียก่อน และโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า หรือขอความยินยอมจากลูกหนี้เสียก่อน ดังนั้น การที่ธนาคารผู้คัดค้านใช้สิทธิโอนเงินฝากประจำบัญชีของลูกหนี้เข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกหนี้ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ เพื่อชำระหนี้เบิกเกินบัญชีนั้น จึงเกิดจากข้อตกลงตามหนังสือสัญญายินยอมให้หักบัญชีเงินฝากประจำชำระหนี้ระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้าน ซึ่งข้อตกลงนี้ได้ทำขึ้นก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายเป็นเวลาเกือบ ๙ เดือน ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ บัญญัติใช้คำว่าลูกหนี้ได้ กระทำหรือยินยอมให้กระทำนั้น ย่อมมุ่งถึงกิริยาที่ลูกหนี้ยินยอม มิได้ใช้คำว่าผู้อื่นทำด้วยความยินยอมของลูกหนี้ ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านกระทำการโอนบัญชีและหักหนี้เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๒๒ โดยมีเจตนามุ่งหมายให้ธนาคารผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้รายอื่น ผู้ร้องจึงขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ ไม่ได้
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องตามคำสั่งของศาลชั้นต้น