คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความท้ากันว่า ถ้าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยยอมแพ้ข้อต่อสู้อื่น ๆ จำเลยสละทั้งหมดถ้าจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์ยอมแพ้ สำหรับค่าเสียหายหากโจทก์ชนะคดี จำเลยยอมให้เป็นไปตามฟ้อง ปรากฏว่ามาตรา 63วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทใดนอกจากการเช่านาเป็นช่องทางให้เกิดการเอาเปรียบเกษตรกรผู้เช่าโดยไม่เป็นธรรมจนเกิดความเดือดร้อนและเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดให้การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ก็ให้มีอำนาจกระทำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาแต่ไม่ปรากฏว่าตั้งแต่ได้ตราพระราชบัญญัติดังกล่าวไว้จนบัดนี้ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกมาใช้บังคับให้มีการควบคุมการประกอบเกษตรกรรมประเภทใดแสดงว่ากฎหมายดังกล่าวยังไม่ประสงค์ให้มีการควบคุมคุ้มครองการเช่าที่ดินเพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำ (ปลา) เหมือนกับการเช่านาเพื่อทำนาปลูกข้าวหรือพืชไร่ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 22 และมาตรา 26 จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยต้องแพ้คดีตามคำท้า และแม้โจทก์ได้โอนที่พิพาทให้แก่จำเลยกับบุตรแล้วในขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยก็ยังต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นับแต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทจนถึงวันที่โจทก์โอนที่พิพาทดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4978 และ5992 ที่จำเลยเช่าและค้างค่าเช่าตลอดมา เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์แจ้งให้ชำระค่าเช่าและออกจากที่พิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้จำเลยกับบริวารออกจากที่พิพาท และใช้ค่าเสียหายเท่ากับค่าเช่าที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย กับค่าเสียหายอีกเท่ากับอัตราค่าเช่าต่อเดือน นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยกับบริวารจะออกไปและส่งมอบที่พิพาทคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์เพื่อใช้เลี้ยงสัตว์น้ำ ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วโจทก์ยังยินยอมให้จำเลยเช่าต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา การเช่าที่พิพาทเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์น้ำของจำเลยอยู่ภายใต้การควบคุมและคุ้มครองของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 26 ที่กำหนดให้มีระยะเวลาเช่า 6 ปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่าและฟ้องขับไล่ทั้งจำเลยไม่ได้ค้างค่าเช่า ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความท้ากันว่าถ้าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยยอมแพ้ ส่วนข้อต่อสู้อื่น ๆ จำเลยสละทั้งหมด ถ้าจำเลยได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโจทก์ยอมแพ้ สำหรับเรื่องค่าเสียหายหากโจทก์ชนะคดี จำเลยยอมให้เป็นไปตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาทและส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 31,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่21 สิงหาคม 2528 เป็นต้นไป กับให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์อีกเดือนละ 1,500 บาท จนกว่าจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทและส่งมอบที่พิพาทคืนแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาททั้งสองแปลง และจำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายกับจำเลยอีก และต้องการให้เรื่องนี้จบสิ้นลงโดยเร็ว จึงขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีและลดหย่อนค่าเสียหายที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายตามคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วโจทก์รับว่าได้โอนขายที่พิพาททั้งสองแปลงให้บุตรชายจำเลยแล้ว โจทก์ไม่ติดใจขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาททั้งสองแปลง แต่เรื่องค่าเสียหายโจทก์ยังติดใจเรียกจากจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2529 ซึ่งเป็นวันโอนขายที่ดินให้แก่จำเลย และค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องถึงวันโอนขายที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน31,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2528 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2529 กับให้จำเลชำระเงินแก่โจทก์อีกเดือนละ 1,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2529 ส่วนให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทให้ยกเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเช่าที่พิพาทของโจทก์เลี้ยงปลาประกอบอาชีพเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์น้ำ หลังจากพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ออกมาใช้บังคัจำเลยจึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ไดบัญญัติเรื่องการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นไว้ในหมวด 3 มาตรา 63 วรรคหนึ่งว่า “ในกรณีที่มีการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทใด นอกจากการเช่านาเป็นช่องทางให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรผู้เช่าโดยไม่เป็นธรรมจนเกิดความเดือดร้อนและเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดให้การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ก็ให้มีอำนาจกระทำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา” ปรากฏว่าตั้งแต่ได้ตราพระราชบัญญัติดังกล่าวไว้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกมาใช้บังคับให้มีการควบคุมการประกอบเกษตรกรรมประเภทใด แสดงว่ากฎหมายดังกล่าวยังไม่ประสงค์ให้มีการควบคุมคุ้มครองการเช่าที่ดินเพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำ (ปลา) เหมือนกับการเช่านาเพื่อทำนาปลูกข้าวหรือพืชไร่ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 22 และมาตรา 26 จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524และบทบัญญัติมาตรา 63 ดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยมีผลบังคับได้ จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าเป็นค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพราะโจทก์ได้โอนที่พิพาททั้งสองแปลงซึ่งเป็นทรัพย์ประธานให้แก่จำเลยและบุตรจำเลยตามลำดับในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้วค่าเช่าอันเป็นดอกผลของที่พิพาทต้องตกตามไปด้วย โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปโจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเนื่องจากจำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทได้มีอยู่ตลอดมาจนกว่าโจทก์ได้โอนที่พิพาทให้แก่ผู้อื่นหรือจำเลยได้ออกไปจากที่พิพาท ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้โอนขายที่พิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยและบุตรจำเลยแล้ว แต่โจทก์ยังติดใจเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นับแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2528กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่14 มีนาคม 2529 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยและบุตรจำเลย ฉะนั้น เมื่อโจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่าหากโจทก์ชนะคดี ค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดแก่โจทก์ให้เป็นไปตามฟ้องจำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำท้าจนถึงวันที่โจทก์โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยและบุตรจำเลยดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share