แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดที่พิพาท แต่โจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแต่ผู้เดียว และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 แต่แล้วโจทก์ที่ 1 กลับใช้สิทธิในฐานะเจ้าของที่ดินร่วมฟ้องเรียกที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 คืนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน โดยโจทก์ที่1และจำเลยที่1ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2 ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดิน จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็ง และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ที่ 1 ได้ซื้อที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน 2 แปลงอยู่ติดต่อกัน ต่อมาได้ขอออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว คือโฉนดที่ 2295 มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 2 ก่อสร้างโรงงานทำน้ำแข็งบนที่ดิน โดยโจทก์ที่ 1 เช่าซื้อจากโจทก์ที่ 2 ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้เช่าซื้อเครื่องทำน้ำแข็งพร้อมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆจากโจทก์ที่ 2 ติดตั้งในโรงงานอีก เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2512 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินโฉนดดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขายฝากไว้กับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 500,000 บาท มีกำหนดไถ่ถอนภายใน 1 ปี โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ทราบ ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 ปกปิดและสมคบกับจำเลยที่ 2 ฉ้อโกงโจทก์ โจทก์ที่ 1 ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินและโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ให้เช่าซื้อโรงน้ำแข็ง กรรมสิทธิ์ที่ดินและโรงน้ำแข็งยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 จึงขอศาลพิพากษาเพิกถอนหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดที่ 2295 ให้จำเลยทั้งสองแก้ทะเบียนกรรมสิทธิ์ ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ขอยืมเงินจำเลยที่ 2 จำนวน500,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้เงินจากจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 380,000 บาท ได้ใช้ชำระหนี้แก่ธนาคาร 177,000 บาท แล้วทำสัญญาขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินและโรงงานทำน้ำแข็งรายพิพาทไว้ เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2513 โจทก์ที่ 1 ได้ขอเช่าทรัพย์รายพิพาท แต่ตกลงกันไม่ได้ในเรื่องกำหนดระยะเวลาเช่า จำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ 1 จึงขอซื้อทรัพย์พิพาทคืนจำเลยที่ 2 ยอมตกลงขายให้ในราคา 600,000 บาท แต่ต้องซื้อทรัพย์คืนภายในเดือนมิถุนายน 2514 มิฉะนั้นจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 จะต้องส่งมอบโรงงานทำน้ำแข็งและดำเนินการโอนชื่อผู้รับอนุญาตประกอบการอุตสาหกรรมทำโรงน้ำแข็งมาเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ตกลงด้วย แต่แล้วโจทก์ที่ 1 กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้ อุปกรณ์การทำน้ำแข็งเป็นส่วนควบของโรงงานทำน้ำแข็งและโรงงานทำน้ำแข็งเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริตแล้ว สิทธิในโรงน้ำแข็งและอุปกรณ์การทำน้ำแข็งรายพิพาทจึงเป็นของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่อาจนำหนังสือสัญญาเช่าซื้อมายันจำเลยที่ 2 ได้ ทรัพย์พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2513 การที่โจทก์ที่ 1 ยังคงอยู่ในทรัพย์พิพาทเป็นการละเมิด ทำให้จำเลยที่ 2 ขาดประโยชน์จากการนำทรัพย์รายพิพาทให้เช่า ซึ่งจะได้ค่าเช่าอย่างน้อยเดือนละ6,000 บาท นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 เดือน 25 วัน เป็นเงิน 47,000 บาท ขอศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ขับไล่โจทก์ออกจากทรัพย์พิพาทให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย 47,000 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 6,000 บาทนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์ที่ 1 ส่งมอบโรงทำน้ำแข็งรายพิพาทแก่จำเลยที่ 2 และให้โจทก์ที่ 1 โอนใบอนุญาตประกอบการอุตสาหกรรมทำโรงน้ำแข็งมาเป็นของจำเลยที่ 2 ฯลฯ
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 ไม่เคยเสนอขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งไม่เคยสัญญาว่าจะโอนใบอนุญาตตั้งโรงน้ำแข็ง หรือได้มอบใบอนุญาตให้ขยายโรงงานทำน้ำแข็งของโจทก์ที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 และก็ไม่เคยขอเช่าหรือขอซื้อทรัพย์รายพิพาทคืนจำเลยที่ 2 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท เพราะได้มาโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 2295 เฉพาะที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 และโรงงานทำน้ำแข็งของโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไปจัดการขอแก้ทะเบียนกรรมสิทธิ์หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่ 2 ทีจะฟ้องเรียกเอาดอกผลตามส่วนของตนในฐานะเจ้าของรวมภายในอายุความ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้เพิกถอนหนังสือสัญญาขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน2512 เฉพาะการขายฝากโรงงานทำน้ำแข็งที่เป็นของโจทก์ที่ 2 ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่า โจทก์ที่ 1 ได้ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาที่ดินและโรงน้ำแข็งไปขายฝากจำเลยที่ 2 เมื่อที่ดินพิพาทโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย แต่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 แต่แล้วโจทก์ที่ 1 กลับใช้สิทธิในฐานะเจ้าของที่ดินร่วมฟ้องเรียกที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 คืนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและเชื่อว่าโรงน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งพิพาท โจทก์ที่ 2 ให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อที่ได้ทำกันไว้ ส่วนเอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ส่วนข้อฎีกาที่ว่าโจทก์ที่ 2 มีเครื่องผลิตน้ำแข็งราคาเป็นจำนวนสูงให้เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 2 ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ไม่จดทะเบียนการค้า นั้นเห็นว่าถ้าเป็นความจริง ก็เป็นเรื่องความไม่สมบูรณ์ในการประกอบกิจการค้าของโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคดีนี้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโดยโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดิน จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็งและเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2 มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1
พิพากษายืน