คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2986/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งเป็นที่ดินต้องห้ามขายภายใน 10 ปี โจทก์บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยคืนมัดจำและเรียกเบี้ยปรับ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญามาฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยคืนมัดจำเนื่องจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะ มูลคดีทั้งสองเรื่องและคำขอบังคับเป็นอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินสองแปลงกับจำเลยโดยวางมัดจำไว้เป็นเงิน 26,375 บาท ต่อมาปรากฏว่าที่ดินที่จะขายเป็นที่ดินซึ่งทางราชการมีสิทธิเวนคืนได้ทุกเมื่อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและขอคืนเงินมัดจำและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยคืนมัดจำ 26,375 บาทแก่โจทก์ พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งตอ่ปีในต้นเงิน 26,375 บาท นับแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2528 จนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 989 บาท และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญาจะซื้อจะขายทำกันระหว่างนายชัยทัศน์ บูรณุปกรณ์ ผู้ซื้อกับจำเลยผู้ขาย ไม่ได้ประทับตราของโจทก์ โจทก์นำสัญญาฉบับที่นายชัยทัศน์ยึดถือไปประทับตราตรงช่องผู้ซื้อในภายหลัง โดยจำเลยไม่ได้รู้เห็นยินยอม จึงไม่มีผลผูกพันที่จะให้รับผิดต่อโจทก์ นายชัยทัศน์ผู้ซื้อได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งสองแปลงจากจำเลยโดยทราบดีว่า ได้มีประมวลกฎหมายที่ดินห้ามโอนที่ดินภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ 21กันยายน 2521 ซึ่งเป็นปีที่ทางราชการออก น.ส.3ก. สำหรับที่ดินจึงไม่มีสิทธิมาฟ้องเรียกมัดจำคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้ โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2529 คดีจึงขาดอายุความในเรื่องลาภมิควรได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทมีข้อห้ามโอนขายภายใน 10 ปีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ ซึ่งโจทก์ทราบดี แต่โจทก์ฝ่าฝืนทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลย การกระทำของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 411 ห้ามมิให้เรียกทรัพย์ที่ได้ชำระแล้วคืน โจทก์จะอ้างว่าเพิ่งทราบว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะเมื่อศาลพิพากษาหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินคืนไม่ได้พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1311/2528 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องคดีนี้ไม่ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1311/2528 ของศาลชั้นต้นนั้นได้ความว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1311/2528 ดังกล่าวโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน 2 แปลง ซึ่งเป็นที่ดินต้องห้ามขายภายใน 10 ปีโจทก์บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยคืนมัดจำ 26,375 บาท และเบี้ยปรับอีก 26,375 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิจากสัญญาที่เป็นโมฆะมาฟ้องจำเลยได้ พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่อุทธรณ์ โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้เรียกให้จำเลยคืนมัดจำ 26,375 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมเนื่องจากสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะคดีก่อนกับคดีนี้โจทก์จำเลยจึงเป็นคู่ความเดียวกัน มูลคดีที่ฟ้องทั้งคำขอบังคับซึ่งศาลได้ชี้ขาดในคดีก่อนก็เป็นอย่างเดียวกับคดีนี้ดังนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน คือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1311/2528 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148…”
พิพากษายืน.

Share