คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2965/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกับโจทก์ในคดีนี้ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ถูกบังคับคดีขายทอดตลาดโดยวิธีปลอดจำนองไปแล้วในคดีนี้ จึงขอให้ศาลกันส่วนหนี้จำนองของผู้ร้องจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวดังนี้ บุริมสิทธิของผู้ร้องเป็นบุริมสิทธิที่จะบังคับ และได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ได้เพียงไม่เกินวงเงินจำนองผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองโดยขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องโดยยังไม่ได้ไต่สวนว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองของจำเลยที่ 1 หรือไม่ และมีสิทธิขอรับชำระหนี้เพียงใด โดยให้เหตุผลว่า การขอรับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 จะต้องยื่นก่อนที่จะมีการขายทอดตลาดทรัพย์ ผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังจากที่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ไปแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนอง จึงไม่ชอบ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะไต่สวนคำร้องของผู้ร้องต่อไปแล้วมีคำสั่งตามรูปคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 740,409.89 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีในต้นเงิน 634,330 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินตามจำนวนที่แต่ละคนต้องรับผิด รายละเอียดปรากฏในคำพิพากษา และให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ สำหรับค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 8 ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่จำเลยแต่ละคนจะต้องชำระให้โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,500 บาท แต่จำเลยทั้งแปดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 72905 ตำบลสำโรงใต้(สำโรง) อำเภอพระประแดง (พระโขนง) จังหวัดสมุทรปราการพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งติดจำนองประกันหนี้รายอื่นออกขายทอดตลาดโดยวิธีปลอดจำนอง โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ดังกล่าวได้ในราคา 2,000,000 บาท คดีอยู่ในระหว่างการคำนวณบัญชีของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องกับโจทก์เป็นบุคคลเดียวกันจำเลยที่ 1 กับผู้มีชื่อยังเป็นหนี้ผู้ร้องสาขาถนนลาดพร้าว ซอย 99ในสินเชื่อประเภทหนี้เงินกู้และเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2527 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในปัจจุบันและหนี้อันจะมีในภายหน้ากับผู้ร้องเป็นจำนวน 1,200,000 บาท และยอมเสียดอกเบี้ยแก่ผู้ร้องในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หากบังคับจำนองขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงิน และดอกเบี้ยค้างชำระยังขาดอยู่จำนวนเท่าใด จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้แก่ผู้ร้องจนครบจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระเงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ผู้ร้องบางส่วนและไม่ตรงเวลา ครั้งสุดท้ายจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2528 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการผิดสัญญาทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ภาระหนี้คิดถึงวันที่ 12 มีนาคม 2528จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ผู้ร้องอยู่ 634,758.50 บาท เมื่อคิดดอกเบี้ยจนถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ผู้ร้องอยู่1,214,947 บาท เมื่อทรัพย์จำนองขายทอดตลาดไปแล้ว ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองจึงมีความจำเป็นขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้อง ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นสั่งว่า การขอรับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 จะต้องยื่นก่อนที่จะมีการขายทอดตลาดทรัพย์ ปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังจากที่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิรับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า นอกจากโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้แล้ว โจทก์อ้างว่ายังเป็นผู้รับจำนองในหนี้รายอื่นที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่อีกจำนวน1,214,947 บาท โดยจำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 72905 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 มาจำนอง แล้วโจทก์คดีนี้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาดโดยวิธีปลอดจำนอง โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ดังกล่าวได้เองในราคา2,000,000 บาท โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้กันส่วนหนี้จำนองจำนวน 1,214,947 บาท เห็นว่า การที่ผู้ร้องและโจทก์ในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกันและอ้างว่าเป็นผู้รับจำนองทรัพย์ของจำเลยที่ 1 บุริมสิทธิของผู้ร้องเป็นบุริมสิทธิที่จะบังคับและได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ได้เพียงไม่เกินวงเงินจำนอง ฉะนั้น ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองมีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองโดยขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ได้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยยังไม่ได้ไต่สวนว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองของจำเลยที่ 1หรือไม่ และมีสิทธิขอรับชำระหนี้เพียงใด จึงไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องขอผู้ร้องต่อไปแล้วมีคำสั่งตามรูปคดีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share