คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเพื่อหารายได้ส่งมาจุนเจือโจทก์และครอบครัวเป็นเวลาหลายปี เมื่อกลับมาโจทก์กลับเจรจาถึงเรื่องการหย่าซึ่งจำเลยระแวงอยู่แล้วว่าโจทก์ต้องการหย่าเพื่อไปแต่งงานกับหญิงอื่น จึงด่าโจทก์ขณะพูดโทรศัพท์ว่า “อ้ายบ้าอ้ายหน้าตัวเมีย กูจะหาเรื่องให้มึงออกจากงาน กูจะไปฟ้องผู้บังคับบัญชา และจะหย่ากันก็ได้ถ้าหาเงินสดมาให้” ดังนี้ เป็นการด่าโจทก์ด้วยอารมณ์วู่วาม ขาดความยั้งคิด อันเกิดจากความผิดหวังที่จำเลยต้องยากลำบากเพื่อความสุขของครอบครัวแต่กลับถูกโจทก์หาทางทอดทิ้งจำเลยจึงหาได้มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์จริงไม่ และที่จำเลยว่าบิดาของโจทก์ว่า “อ้ายเฒ่ามึงอย่าเสือกเรื่องของกู” นั้น ก็เป็นการต่อว่ากันทางโทรศัพท์ เป็นการกล่าวด้วยอารมณ์วู่วามที่ทราบว่าบิดาโจทก์และโจทก์ได้ร่วมกันดำเนินการให้มีการจดทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบิดาโจทก์ และเป็นเพียงคำไม่สุภาพ ขาดสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นการหมิ่นประมาทบิดาโจทก์
โจทก์ยินยอมให้จำเลยไปประกอบอาชีพในต่างประเทศเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์จึงไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างมาฟ้องหย่าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเดินทางไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วมิได้กลับมาอยู่กินกับโจทก์อีก เป็นการจงใจละทิ้งโจทก์ และยังได้กล่าวดูหมิ่นและหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง ทำให้ไม่อาจอยู่กินฉันสามีภริยากันอีกต่อไปได้ ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้จงใจละทิ้งโจทก์ จำเลยเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาโดยความประสงค์ของโจทก์ เพื่อทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว จำเลยไม่เคยกล่าวดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์หรือบุพการีของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยด่าโจทก์และบิดาโจทก์เป็นการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยด่าโจทก์ว่า “อ้ายบ้า อ้ายหน้าตัวเมีย กูจะหาเรื่องให้มึงออกจากงาน กูจะไปฟ้องผู้บังคับบัญชา และจะหย่ากันก็ได้ถ้าหาเงินสดมาให้” นั้น จำเลยด่าโจทก์ในขณะที่โจทก์พูดโทรศัพท์กับจำเลย เป็นการพูดกันสองต่อสอง และเหตุที่ด่าก็เพราะจำเลยได้เดินทางไปประกอบอาชีพในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อหารายได้มาจุนเจือโจทก์และครอบครัวเป็นเวลาหลายปี เมื่อกลับมาประเทศไทยเพื่อนำบุตรไปด้วย โจทก์กลับเจรจาถึงเรื่องการหย่าซึ่งจำเลยระแวงอยู่แล้วว่าโจทก์ต้องการหย่าเพื่อไปแต่งงานใหม่กับหญิงอื่น จึงด่าโจทก์ด้วยอารมณ์วู่วามขาดความยั้งคิด อันเกิดจากความผิดหวังที่จำเลยบากบั่นต่อสู้ชีวิตในต่างประเทศด้วยความยากลำบากเพื่อความสุขของครอบครัว แต่กลับถูกโจทก์หาทางทอดทิ้ง จำเลยจึงหามีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์จริงจังไม่ และที่จำเลยว่าบิดาของโจทก์ว่า “อ้ายเฒ่า มึงอย่าเสือกเรื่องของกู” นั้น ก็เป็นการต่อว่ากันทางโทรศัพท์ น่าเชื่อว่าจำเลยกล่าวด้วยอารมณ์วู่วามที่ทราบว่าโจทก์และบิดาโจทก์ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อให้มีการจดทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบิดาโจทก์เช่นกัน ส่วนที่จำเลยใช้คำว่า “อ้ายแก่” กับบิดาโจทก์ก็เป็นเพียงคำไม่สุภาพ และเป็นการขาดสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่เท่านั้น จึงไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นการหมิ่นประมาทบิดาโจทก์แต่อย่างใด
ประเด็นที่ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์นั้น ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยไปประกอบอาชีพในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว และการเดินทางไปนั้นโจทก์จำเลยต่างเห็นดีเห็นชอบด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ จึงไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างมาฟ้องหย่าได้
พิพากษายืน

Share