คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่ได้ระบุว่า ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างก็ตาม ก็ต้องหมายรวมถึงสิ่งปลูกสร้างด้วย เพราะสิ่งปลูกสร้างคือบ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดินย่อมตกติดไปกับที่ดิน และโจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อขอบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำกันไว้ อันแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ที่จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วย
การที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษาตามยอมว่า การขายที่ดินดังกล่าวรวมถึงสิ่งปลูกสร้างในที่ดินด้วยนั้น แปลได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ร้องขอให้บังคับคดี โดยแปลว่าสัญญาประนีประนอมยอมความสนส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินที่ตกลงซื้อขายได้มุ่งหมายถึงสิ่งปลุกสร้างในที่ดินนั้นด้วยแล้วบังคับไปตามนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะขอบังคับให้จำเลยโอนบ้านพิพาทแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขายที่ดินพร้อมสิงปลูกสร้างในที่ดินแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ในที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยตกลงขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจตนาแท้จริงของโจทก์จำเลยมีว่า จำเลยตกลงขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ แต่คำพิพากษากล่าวถึงเฉพาะการขายที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงจดทะเบียนโอนเฉพาะที่ดินแก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษาเดิมว่า การขายที่ดินนั้นหมายรวมถึงสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด
จำเลยคัดค้านว่า เจตนาของจำเลยต้องการขายเฉพาะที่ดินเท่านั้น ไม่รวมถึงสิ่งปลูกสร้างด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยโอนบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าข้อตกลงซื้อขายทีดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะหมายรวมถึงสิ่งปลูกสร้างในที่ดินนั้นด้วยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นของบิดาโจทก์จำเลย มีสิ่งปลุกสร้างคือบ้านเลขที่ ๑๓๑ อยู่แล้ว โดยบิดาโจทก์จำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างขึ้นเป็นเวลากว่า ๓๕ ปีแล้ว ตามกฎหมายบ้านพิพาทย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินแปลงนี้ ฉะนั้นแม้สัญญาประนีประนอมยอมคววามจะใช้คำแต่เพียงว่าจำเลยตกลงยินยอมขายที่ดินให้แก่โจทก์ โดยไม่มีข้อความว่า ” พร้อมสิ่งปลูกสร้าง” ก็ดี ก็ต้องหมายความว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง หรือบ้านพิพาทด้วย เพราะบ้ายพิพาทปลูกในที่ดินและเป็นส่วนควบของที่ดินที่ตกลงขายกันย่อมตกติดไปกับที่ดิน โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อขอบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ซึ่งได้ทำกันไว้ อันแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ที่จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วย และจำเลยก็ทราบดี และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีข้อตกลงกันไว้เป็นพิเศษว่าให้สิ่งปลูกสร้าง คือบ้านพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอันพึงแสดงว่าจำเลยยังสงวนสิทธิมิยอมขายบ้ายพิพาทด้วย จึงไม่มีทางจะให้แปลว่าจำเลยตกลงขายแต่เฉพาะที่ดินเท่านั้น
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้อธิบายขยายคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ เพราะมิใช่เรื่องที่คำพิพากษามีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่โจทก์ยื่นคำร้องเข้ามาเช่นในคดีนี้พอจะแปลได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ร้องขอให้บังคับคดี โดยแปลว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินที่ตกลงซื้อขายได้มุ่งหมายถึงสิ่งปลุกสร้างในที่ดินนั้นด้วย แล้วบังคับคดีไปตามนั้น เพราะคำพิพากษาตามยอมเป็นเรื่องบังคับไปตามสัญญายอมที่ถูกต้องแท้จริงได้ และกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ศาลออกหมายบังคับคดี หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะต้องขอให้ศาลสั่งยกเลิกแก้ไขก่อนการบังคับคดีเสร็จ หรือภายใน ๘ วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ โจทก์มีสิทธิ์ที่จะขอบังคับให้จำเลยโอนบ้านพิพาทแก่โจทก์ได้
พิพากษายืน

Share