แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หญิงมีสามีฟ้องคดีภายหลังที่บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้วอำนาจจัดการสินสมรสต้องใช้บทบัญญัติในบรรพ 5 ใหม่บังคับซึ่งมาตรา 1476 ได้บัญญัติให้สามีและภรรยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน
โจทก์เป็นหญิงมีสามีได้ยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสโดยลำพังแต่ปรากฏในสำนวนว่าสามีโจทก์มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า “ได้ให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการฟ้องคดีนี้ตามกฎหมายแล้วตลอดมา” จึงถือได้ว่าสามีโจทก์อนุญาตหรือยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือในสำนวนความแล้วและถือได้ว่าเป็นการแก้ไขในเรื่องความสามารถของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 แล้วด้วยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 เคยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางเดินทางเดียวกันกับคดีนี้ขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็นำเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องแย้งในคดีนี้อีกแม้คดีก่อนจำเลยที่ 2 จะมิได้ร่วมเป็นโจทก์ด้วยแต่จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในฐานะที่จะได้รับประโยชน์หรือโทษจากผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อนเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และการที่ฟ้องแย้งมีคำขอบังคับให้จดทะเบียนทางเดินเป็นทางภารจำยอมอันเป็นคำขอให้บังคับเพิ่มเติมจากคดีก่อนประเด็นที่พิพาทกันในคดีก่อนกับที่จำเลยฟ้องแย้งก็คงมีอยู่อย่างเดียวกันฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายวิจิตรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนดที่ดินเลขที่ 2674 ตำบลบ้านทวาย เขตบางรัก กรุงเทพมหานครมีเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา แบ่งเป็น 820 ส่วน โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ 590 ส่วนจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ 128 ส่วน จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ 22 ส่วน และนายวิจิตรถือกรรมสิทธิ์ 80 ส่วน เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2517 โจทก์ จำเลยที่ 1ที่ 2 และนายวิจิตรได้ร่วมกันยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวออกเป็น 4 โฉนด โดยให้เป็นของนายวิจิตร 2 โฉนด เป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละโฉนด และแปลงคงเหลือเป็นของโจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดตามคำขอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้มีหนังสือนัดให้โจทก์ จำเลยทั้งสองและนายวิจิตรนำโฉนดไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม จำเลยทั้งสองไม่ยอมไป จึงไม่อาจจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและออกโฉนดได้ ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้เป็นนางสาวความจริงโจทก์เป็นหญิงมีสามีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีได้โดยลำพังก่อนที่โจทก์จำเลยจะตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2674 นั้น จำเลยทั้งสองตลอดจนญาติพี่น้องได้อาศัยอยู่ด้านในของที่ดินแปลงดังกล่าว และได้ใช้ทางเดินตามเส้นสีแดงประในแผนที่ท้ายคำให้การออกไปสู่ถนนสาธารณะมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วทางดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมและเป็นทางจำเป็นด้วย เมื่อโจทก์ชักชวนให้จำเลยซื้อที่ดินจากโจทก์นั้น โจทก์ได้ชี้แจงว่า ถ้าหากยังคงให้มีทางเดินอยู่อย่างเดิมแล้ว ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวจะถูกทางเดินแบ่งแยกเป็นสองแปลง โจทก์จึงให้สัญญาว่าโจทก์จะเปลี่ยนทางเดินเข้าออกใหม่จากทางทิศเหนือมาสู่ด้านทิศใต้ริมเขตที่ดินยาวตลอดแนวของที่ดิน โดยโจทก์รับว่าจะเว้นที่กว้าง 3 เมตร กั้นกำแพงและจดทะเบียนเป็นทางภารจำยอมให้แก่จำเลยในวันจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้ด้วยและเจ้าพนักงานรังวัดได้กันที่ดินให้เป็นทางเดินกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินแล้วตามเส้นสีน้ำเงินประในแผนที่ท้ายคำให้การ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2519 โจทก์ได้ตอกเสาขนาดใหญ่สูงเหนือพื้นดินประมาณ1 เมตร รวม 5 ต้นลงบนทางเดินใหม่ ทำคอนกรีตฝังคร่อมทางเดิน วางวัสดุก่อสร้าง ขุดหลุมลึกจนไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้ และไม่ยอมลาดปูนหยาบให้ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงได้ฟ้องโจทก์ให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างบนถนนกับให้ลาดปูนหยาบตามสัญญา ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 10058/2519ของศาลแพ่ง การที่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมก็เพราะโจทก์ผิดสัญญา ไม่ยอมให้จำเลยใช้ทางเดินใหม่ ไม่ยอมลาดปูนหยาบและไม่ยอมจดทะเบียนภารจำยอมจำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนทางเดินภารจำยอมถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยอยู่ในที่พิพาทและไม่เคยใช้ทางเดินในที่แปลงนี้มาก่อน ทางเดินท้ายคำให้การไม่ใช่ทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น โจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลย โจทก์เพียงแต่ตกลงเว้นทางกว้าง0.3 เมตรให้จำเลยใช้เป็นทางเข้าออกได้เท่านั้น และก็ได้ดำเนินการก่อสร้างถนนคอนกรีตกว้าง 3 เมตร เว้นไว้เป็นทางให้จำเลยเข้าออกได้ตลอดแนวตามสัญญาแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2674 ให้โจทก์จดทะเบียนทางเดินภารจำยอมให้จำเลย ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีสามีโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทและยื่นฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าเป็นนางสาว เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีข้อตกลงกันระหว่างโจทก์กับสามีว่าที่ดินแปลงนี้ให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ แต่โจทก์ซื้อที่ดินแปลงนี้มาในระหว่างสมรส ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังที่บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว อำนาจในการจัดการสินสมรสต้องใช้บทบัญญัติในบรรพ 5 ใหม่บังคับ ซึ่งมาตรา 1476 บัญญัติให้สามีและภรรยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้โดยลำพัง แต่ปรากฏในสำนวนว่านายสุทัศน์สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า “ได้ให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการฟ้องคดีตามกฎหมายแล้วตลอดมา” จึงถือได้ว่าสามีโจทก์อนุญาตหรือยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือในสำนวนความแล้ว และถือได้ว่าเป็นการแก้ไขในเรื่องความสามารถของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56แล้วด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ปัญหาเรื่องโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่นั้นจำเลยอ้างเหตุข้อเดียวว่า โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยใช้ทางเดินใหม่ ไม่ยอมลาดปูนและไม่ยอมจดทะเบียนภารจำยอมตามสัญญา จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้จดทะเบียนภารจำยอมทางเดินดังกล่าว แต่ปรากฏในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 7597/2520 ของศาลแพ่งว่าก่อนที่จำเลยจะฟ้องแย้งคดีนี้ จำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นจำเลยตามสำนวนดังกล่าว ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางเดินเดียวกันนี้ และลาดปูนหยาบกว้าง 3 เมตรบนทางเดินด้วย ขณะคดีดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยนำเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องแย้งในคดีนี้และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีนี้ คู่ความในคดีก่อนก็ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลซึ่งสารสำคัญว่า จำเลยในคดีดังกล่าวคือโจทก์คดีนี้ยอมรื้อถอนสิ่งกีดขวางออกจากทางเดินพิพาทและยอมทำถนนลาดปูนหยาบกว้าง 3 เมตร หนาอย่างน้อย10 เซนติเมตรบนทางเดินด้วย การทำสัญญายอมดังกล่าวมีปัญหาในชั้นบังคับคดี แต่คดีได้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลย (โจทก์คดีนี้)ได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าแม้คดีก่อน จำเลยที่ 1 จะมิได้เป็นโจทก์ด้วย แต่จำเลยที่ 2 ก็อยู่ในฐานะที่จะได้รับประโยชน์หรือโทษจากผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อนเช่นเดียวกับผู้เป็นโจทก์กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิใช้ทางเดินพิพาทตามผลแห่งคำพิพากษาเช่นเดียวกับผู้เป็นโจทก์ทุกประการ และการที่ฟ้องแย้งก็มีคำขอบังคับให้จดทะเบียนทางเดินเป็นทางภารจำยอม อันเป็นคำขอให้บังคับเพิ่มเติมจากคดีก่อน ประเด็นที่พิพาทกันในคดีก่อนกับที่จำเลยฟ้องแย้งก็คงมีอยู่อย่างเดียวกันว่า โจทก์มีข้อตกลงกับจำเลยเรื่องทางเดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายอย่างไร ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
พิพากษายืน