คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 5 รับรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับเข้าร่วมกิจการรับส่งคนโดยสารในเส้นทางที่จำเลยที่ 5 ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล โดยจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ด้วย ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 ด้วยการที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารสองแถวรับส่งคนโดยสารนอกเส้นทางสัมปทาน จำเลยที่ 5 ทราบแต่ไม่เคยทักท้วง หรือปรับหรือบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวรับส่งคนโดยสารขณะเกิดเหตุโดยได้รับอนุญาตหรือรู้เห็นยินยอมจากจำเลยที่ 5 แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 5จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารสองแถวสาย 76 คันหมายเลขทะเบียน 11-1360 กรุงเทพมหานคร ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารสองแถวสาย 76คันหมายเลขทะเบียน 11-0942 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 4 เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารสองแถวสาย 76 คันหมายเลขทะเบียน 10-7463 กรุงเทพมหานครรถยนต์โดยสารทั้งสามคันดังกล่าวข้างต้นเป็นรถร่วมสาย 76 ของจำเลยที่ 5 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2529 เวลาประมาณ 6 นาฬิกาโจทก์ได้ขึ้นรถยนต์โดยสารสองแถวคันหมายเลขทะเบียน 11-1360กรุงเทพมหานคร เพื่อไปเรียนหนังสือตามปกติ จำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 4 ได้ขับรถยนต์โดยสารสองแถวโดยประมาทแล่นตามกันมาในลักษณะแย่งผู้โดยสาร ขณะที่รถยนต์คันที่โจทก์โดยสารจอดรับส่งคนโดยสารจำเลยที่ 3 ได้ขับรถยนต์โดยสารสองแถวคันหมายเลขทะเบียน 11-0942กรุงเทพมหานคร แซงรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 4 แล้วหักหลบเข้าทางด้านซ้ายชนรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 1 ขณะจอดอยู่และรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 4 ชนท้ายรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 3 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 80,616.75 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารสองแถวคันหมายเลขทะเบียน 11-1360กรุงเทพมหานคร และไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 หรือผู้ร่วมใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำการใด ๆ จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทเหตุที่รถยนต์โดยสารสองแถวชนกันดังกล่าวเพราะความประมาทของจำเลยที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เหตุเกิดจากจำเลยที่ 1 จอดรถโดยกระทันหันจำเลยที่ 3 ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน เป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 4 ชนรถยนต์โดยสารสองแถวของจำเลยที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 5 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์โดยสารสองแถวทั้งสามคันไม่ได้แล่นรับส่งคนโดยสารในเส้นทางที่จำเลยที่ 5 กำหนดให้ แต่นำมาแล่นรับส่งคนโดยสารนอกเส้นทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 5จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 80,616 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 80,616.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่จำเลยที่ 5 อ้างว่า ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารสองแถวคันเกิดเหตุรับส่งคนโดยสารนอกเส้นทางที่กำหนด เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 5 รับผิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 5 รับรถยนต์โดยสารสองแถวคันหมายเลขทะเบียน 11-1360 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยที่ 1เป็นผู้ขับนั้นเข้าร่วมรับส่งคนโดยสารในเส้นทางที่จำเลยที่ 5ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความจากนายมงคลจำนงค์พิศ พนักงานของจำเลยที่ 5 แผนกคดี สำนักงานกฎหมายของจำเลยที่ 5 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 5 ว่า รถยนต์โดยสารสองแถวคันที่จำเลยที่ 1 ขับรับส่งคนโดยสารนั้นได้เข้ามาแล่นร่วมกับจำเลยที่ 5 โดยจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ด้วย เท่ากับจำเลยที่ 5นำสืบรับว่า จำเลยที่ 5 ได้รับเอารถยนต์โดยสารสองแถวคันดังกล่าวเข้าร่วมกิจการของจำเลยที่ 5 โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ ดังนี้จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 ด้วย นอกจากนั้นพยานของจำเลยที่ 5 ดังกล่าวยังเบิกความด้วยว่า การที่รถยนต์โดยสารสองแถวคันนี้มาแล่นรับส่งคนโดยสารที่ถนนธนบุรี-ปากท่อนั้นเป็นการแล่นนอกเส้นทาง การแล่นนอกเส้นทางนั้น จำเลยที่ 5 มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและปรับได้ แต่เมื่อจำเลยที่ 5 ทราบว่ารถยนต์โดยสารสองแถวคันดังกล่าวแล่นนอกเส้นทางแล้ว จำเลยที่ 5 ก็ไม่เคยทักท้วงหรือปรับหรือบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใด ดังนี้ กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารสองแถวคันดังกล่าวรับส่งคนโดยสารระหว่างดาวคนอง-หมู่บ้านการเคหะแห่งชาติ ถนนธนบุรี-ปากท่อในขณะเกิดเหตุนั้น โดยได้รับอนุญาตหรือรู้เห็นยินยอมจากจำเลยที่ 5แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 5 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำนวนค่าเสียหายเพียงใดนั้นปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์นั่นเอง เท่ากับศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยที่ 5ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 5 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share