คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2924/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กฎและข้อบังคับของจำเลยข้อ 9 ที่กำหนดว่าคณะผู้บริหารมีอำนาจที่จะตัดสินเกี่ยวกับข้อพิพาทหรือปัญหาซึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างหรือผลของข้อบังคับนี้หรือในข้อที่เกี่ยวกับการบริหารบัญชีนี้หมายความว่า อำนาจตัดสินของคณะผู้บริหารตามกฎและข้อบังคับดังกล่าวต้องเป็นเรื่องอันเกิดจากโครงสร้าง ผลของข้อบังคับและการบริหารบัญชีเท่านั้น หามีอำนาจที่จะตัดสินให้งดจ่ายเงินสมทบแก่สมาชิกในกรณีสมาชิกทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังยักยอกเงินของจำเลยไม่
บทบัญญัติเรื่องบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หาได้ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชำระหนี้ไม่
สิทธิของจำเลยที่จะเรียกเงินที่โจทก์เบียดบังยักยอกไปคืนมิได้เกี่ยวกับเงินค่าจ้างค้างชำระ เงินสะสมและเงินสมทบที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์แต่อย่างใดจำเลยจึงหามีสิทธิยึดหน่วงไม่
การที่กฎและข้อบังคับของจำเลย ข้อ 27 กำหนดว่าบริษัทย่อมทรงไว้ซึ่งบุริมสิทธิลำดับแรกและทั้งสิ้นในเงินจำนวนที่เป็นเครดิตของสมาชิกแต่ละคนในบัญชีนี้เพื่อนำมาชดใช้แก่บรรดาการสูญเสีย ราคา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่บริษัทอาจได้รับไม่ว่าในเวลาใดเนื่องจากความผิดของสมาชิกนั้นหรือสำหรับหนี้สินใดๆ ที่สมาชิกนั้นต้องชำระให้แก่บริษัทนั้น หมายความว่าจำเลยมีสิทธิที่จะหักเงินสะสมและเงินสมทบในบัญชีของโจทก์ไว้ชำระหนี้แก่จำเลยได้หากหนี้นั้นมีจำนวนแน่นอนและไม่เกินกว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลย
การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำนวนเงินที่โจทก์ยักยอกไปมีจำนวนแน่นอนนั้นเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้าง ค่าชดเชยเงินบำเหน็จ เงินสะสมและเงินสมทบให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกทรัพย์ของจำเลย โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่ถึงตามฟ้อง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาต่อจำเลยและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินบำเหน็จเพราะไม่มีระเบียบกำหนดไว้แน่นอนแต่เป็นดุลพินิจของจำเลยโดยขึ้นอยู่กับผลงานของลูกจ้างแต่ละคน ส่วนเงินสะสมและเงินสมทบ จำเลยไม่ต้องจ่ายตามข้อบังคับของจำเลยเพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังเงินของจำเลยไป และจำเลยทรงไว้ซึ่งบุริมสิทธิและสิทธิยึดหน่วงเหนือเงินที่โจทก์เรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง

ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยรับกันว่า จำเลยค้างชำระค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 7,505 บาท โจทก์มีเงินฝากตามกฎและข้อบังคับของบัญชีเงินฝากพนักงานจำเลยอันเป็นเงินของโจทก์ ซึ่งยังมิได้รวมเงินสมทบเป็นเงิน74,484 บาท โจทก์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบให้แก่โจทก์อีกเท่าตัวของเงินฝาก โจทก์ทำความเสียหายให้แก่จำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินดังกล่าวตามกฎและข้อบังคับของจำเลยโจทก์แถลงว่ายอดเงินตามบันทึกข้อตกลงค่าเสียหายยังไม่มียอดว่าเป็นเท่าใด โจทก์จำเลยท้ากันให้ถือเอาคำเบิกความของกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยเป็นพยานร่วมเพียง 1 ปาก

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและมีสิทธิระงับไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปี (เงินบำเหน็จ) ให้โจทก์ได้ เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยต้องจ่ายเงินสมทบให้อีกเท่าจำนวนเงินสะสมข้อบังคับของจำเลยมิได้จำกัดไว้ให้จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินสมทบในกรณีโจทก์กระทำการทุจริตต่อจำเลย จำเลยไม่ใช่ผู้ทรงบุริมสิทธิในเงินค่าจ้างค้างชำระ เงินสะสมและเงินสมทบจำนวนเงินที่โจทก์เบียดบังยักยอกฟังไม่ได้แจ้งชัดว่ามีจำนวนเท่าใด ไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินโจทก์ได้เพียงใด จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วง พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ค่าจ้างค้างชำระ เงินสะสมและเงินสมทบให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามกฎและข้อบังคับจำเลยข้อ 9 ซึ่งกำหนดว่า คณะผู้บริหารมีอำนาจที่จะตัดสินเกี่ยวกับข้อพิพาทหรือปัญหาซึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างหรือผลของข้อบังคับนี้ หรือในข้อที่เกี่ยวกับการบริหารบัญชีนี้ หมายความว่าอำนาจตัดสินของคณะผู้บริหารตามกฎและข้อบังคับดังกล่าว ต้องเป็นเรื่องอันเกิดจากโครงสร้างผลของข้อบังคับและการบริหารบัญชีเท่านั้น หามีอำนาจที่จะตัดสินให้งดจ่ายเงินสมทบแก่สมาชิกในกรณีสมาชิกทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังยักยอกเงินของจำเลยไม่ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสมทบจากจำเลยเท่ากับเงินสะสม

บทบัญญัติเรื่องบุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หาได้ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชำระหนี้ไม่จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้ผู้ทรงบุริมสิทธิหรือไม่ต่อไป ส่วนสิทธิยึดหน่วงเป็นเรื่องสิทธิผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวกับสิทธิซึ่งครองนั้น แต่สิทธิของจำเลยที่จะเรียกเงินที่โจทก์เบียดบังยักยอกไปคืน มิได้เกี่ยวกับเงินค่าจ้างค้างชำระ เงินสะสมและเงินสมทบที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์แต่อย่างใด จำเลยจึงหามีสิทธิยึดหน่วงไม่ ส่วนกฎและข้อบังคับจำเลยข้อ 27 ที่กำหนดว่า บริษัทย่อมทรงไว้ซึ่งบุริมสิทธิลำดับแรกและทั้งสิ้นในเงินจำนวนที่เป็นเครดิตของสมาชิกแต่ละคนในบัญชีนี้เพื่อนำมาชดใช้แก่บรรดาการสูญเสียราคาและค่าใช้จ่ายทั้งมวลที่บริษัทอาจได้รับไม่ว่าในเวลาใด เนื่องจากความผิดของสมาชิกนั้น หรือสำหรับหนี้สินใด ๆ ที่บริษัทสมาชิกนั้นต้องชำระให้แก่บริษัท นั้น เห็นว่ากฎและข้อบังคับดังกล่าวให้สิทธิแก่จำเลยที่จะหักเงินสะสมและเงินสมทบในบัญชีของโจทก์ไว้ชำระหนี้แก่จำเลยได้ แต่หาได้ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะหักเงินไว้เกินกว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยไม่ เมื่อหนี้ละเมิดที่โจทก์เบียดบังยักยอกเงินของจำเลยไปยังฟังไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด จำเลยจะหักเงินสะสมและเงินสมทบของโจทก์ไว้มิได้ ที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าจำนวนเงินที่โจทก์เบียดบังยักยอกไปมีจำนวนแน่นอนเป็นเงิน 605,855 บาท เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่เกี่ยวกับเงินฝากสะสมโจทก์จำเลยรับกันว่าโจทก์มีเงินฝากสะสมจำนวน 74,484 บาทแต่ศาลแรงงานกลางนำไปกล่าววินิจฉัยผิดพลาดไปเป็นจำนวน 74,844 บาทเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้เสียให้ถูกต้องได้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบรวม148,968 บาท และเมื่อรวมกับค่าจ้างค้างชำระแล้วเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น156,473 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share